โพรไบโอติก เพื่อนรักจุดซ่อนเร้นของหญิง

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสอบรมเพิ่มเติมความรู้ให้กับตัวเอง ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ ไม่เคยรู้ และเพิ่งมารู้ อย่างเช่น ร่างกายของคนเรา มีแบคทีเรียมากกว่าจำนวนเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกายหลายเท่า ก็คิดว่าตัวเองสะอาดปราศจากเชื้อต่างๆ คุณแบคทีเรียขา อยู่ตรงไหน แก้ผ้ามองดูก็ไม่เห็นตัว ก็แน่ละ ถ้ามองเห็นนี่ คงไม่กล้าจับสัมผัสตัวเองแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่ในจุดซ่อนเร้นของหญิง อย่างแรกเราต้องรู้จักกับ “โพรไบโอติก” ก่อนเลย

โพรไบโอติก คืออะไร

โพรไบโอติก คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กซึ่งเมื่อได้นำใส่เข้าไปในร่างกาย ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้เกิดประโยชน์ด้านสุขภาพกับเจ้าของร่างกาย

ระบบสมดุลตามธรรมชาติของจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง

  • ระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของมนุษย์ในบริเวณช่องคลอด เกิดจากการป้องกันของแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “แล็กโทบาซิลลัส”
  • ในสภาวะที่เป็นปกติความสมดุลที่เกิดขึ้นจากแล็กโทบาซิลลัสหลากสายพันธุ์ในช่องคลอดผลิตสารชื่อ “ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์” จะช่วยกำจัดแบคทีเรียเชื้อโรคจากภายนอก
  • นอกจากนี้ยังผลิต กรดแลคติก ออกมาทำให้ความเป็นกรดด่างของช่องคลอดไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเชื้อโรค

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสมดุลตามธรรมชาติของจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง

  • วิธีการคุมกำเหนิด เช่น ถุงยางอนามัยและยาฆ่าอสุจิ
  • การมีเพศสัมพันธ์ น้ำอสุจิเป็นด่าง
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์
  • อาหาร โดยเฉพาะน้ำตาลช่วยให้เชื้อราเจริญเติบโต
  • สุขภาวะของปากช่องคลอด โดยความชื้นและอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เชื้อราเจริญเติบโต

อาการที่บ่งบอกว่าอาจจะเกิดปัญหากับจุดซ่อนเร้น

  • กลิ่นเปลี่ยนไป เช่น มีกลิ่นเหม็น หรือกลิ่นคาวปลา
  • สีและความเหนียวหนืดของตกขาวตามธรรมชาติเปลี่ยนไป เช่น เป็นสีเขียวเหลือง สีขาวจัด สีเทา มีฟอง มีลักษณะเหมือนหนอง
  • มีอาการระคายเคืองของช่องคลอดและปากช่องคลอด คัน ปวดแสบปวดร้อน บวมแดง ปัสสาวะขัด
  • มีเลือดปนออกมากับตกขาว หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ช่วงประจำเดือน

การแก้ปัญหาที่เกิดกับจุดซ่อนเร้น เราต้องเสริม โพรไบโอติก เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีเข้าไปในร่างกาย

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกและสารอาหารเพื่อจุดซ่อนเร้น

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

ออกกำลังกายหนัก ใช่ว่าน้ำหนักจะลด แถมอาจโยโย่ได้

หลายคนเคยสงสัยกันมั๊ยคะว่า ทำไมออกกำลังกายอย่างหนักแล้วก็ยังไม่ผอมอย่างที่ตั้งใจ แถมยังโยโย่อีก เหนื่อยก็เหนื่อย ออกจนท้อเลยก็มี คอนเทนท์นี้จะมาเฉลยว่าทำไม เพราะอะไร

สมมุติว่า ปกติร่างกายของเราเผาผลาญประมาณ 1,600 แคลอรี่ต่อวัน และกินอาหารได้พลังงานประมาณ 2,100 แคลอรี่ต่อวัน ทำให้มีแคลอรี่เหลือวันละ 500 แคลอรี่ ถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันครบ 7 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เราจะมีแคลอรี่เหลือเก็บ 500×7 = 3,500 แคลอรี่ต่อสัปดาห์ ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ เดือนนึงก็เพิ่มขึ้นเท่ากับ 2 กิโลกรัมโดยประมาณ

จนวันหนึ่งเริ่มรู้สึกอึดอัด อ้วน แล้วต้องการที่จะลดน้ำหนักโดยได้ตัดสินใจเลือกการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ตามที่เห็นในโลกโซเชียล จนร่างกายเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2,600 แคลอรี่ต่อวัน ทำให้เราได้พลังงานจากอาหารที่กินน้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญได้ ก็ทำให้น้ำหนักของเราลดลง (ต้องออกกำลังกายทุกวัน) เพราะในทางกลับกันดังนี้ คือ เผาผลาญ 2,600 แคลอรี่ ลบด้วยพลังงานจากอาหาร 2,100 แคลอรี่ จะเท่ากับพลังงานติดลบวันละ 500 แคลอรี่ต่อวัน ครบ 1 สัปดาห์ น้ำหนักของเราจะติดลบเท่ากับ 3,500 แคลอรี่ต่อสัปดาห์ ส่งผลให้น้ำหนักของเราลดลง 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ เดือนนึงก็ลดได้ประมาณ 2 กิโลกรัม ว้าว! สุดยอด แต่ช้าก่อน…

ช้าก่อนเพราะว่า…หลังจากที่ลดน้ำหนักได้ระดับที่ต้องการแล้ว (หรือว่าเราหาเวลาออกกำลังกายไม่ได้) ร่างกายของเราจะค่อยๆ กลับมาเผาผลาญประมาณ 1,600 แคลอรี่ต่อวัน โดยที่เรายังคงกินอาหารตามปกติที่ได้พลังงานประมาณ 2,100 แคลอรี่ต่อวันเหมือนเดิม ผลคือ น้ำหนักตัวก็จะกลับมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม ตามเหตุผลด้านบนนั่นเอง

แล้วสำหรับบางคนที่กินหรือเสริมโปรตีนไม่มากพอในช่วงที่ลดน้ำหนัก ก็อาจจะทำให้สูญเสียกล้ามเนื้อไประหว่างการลดน้ำหนักได้ ซึ่งน้ำหนักที่ลดทุก 4 กิโลกรัม จะเป็นมวลกล้ามเนื้อ 1 กิโลกรัม เมื่อมวลกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญลดลงไปด้วย จึงทำให้เราเกิดโยโย่ได้นั่นเอง เข้าใจบ่ การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว โดยที่เราไม่ควบคุมแคลอรี่จากอาหารที่กินเข้าไป โอกาสที่น้ำหนักของเราจะลดได้ก็จะน้อยลงมาก และมีโอกาสเกิดโยโย่ได้ง่ายเช่นกัน

สุดท้าย จะบอกว่าคนที่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง หรือว่าไม่มีความอดทนมากพอ หรือเป็นคนที่วินัยน้อย ขาดความสม่ำเสมอ แล้วคาดหวังว่าจะลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกาย ขอบอกได้เลยว่า “จะเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้  ”  สิบอกให่!!!!

ลิงค์แนะนำ :  ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จนได้น้ำหนักที่ต้องการ กรูทำได้ยังไง!

Photo : pixabay.com, pexels.com

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

ลดน้ำหนักอย่างไร ให้ลดแล้วลดเลย ไม่กลับมาอ้วนอีก

คนอ้วน คนอวบหลายคนอยากจะผอม อยากหุ่นดี ทำได้ไม่ยากเลย  เพียงแค่เราเดินเข้าคลินิกลดความอ้วน ซื้อยาลดความอ้วนมากิน ใช้บริการหรือทำอยู่สักพักหุ่นจะผอมโกรกลงทันตาเห็นอย่างรวดเร็ว แต่ช้าก่อน หลายคนพบว่าการลดความอ้วนได้สำเร็จผอมเพรียว เอวบางร่างน้อยอยู่ไม่นานเท่าไหร่ ก็จะกลับไปอ้วนอีก แถมอ้วนหนักกว่าเดิม เพิ่มเติมอีกหลายกิโล ปัญหาอย่างนี้เราเรียกว่า โยโย่ หรือ yoyo effect คือ อ้วนแล้วผอม ผอมแล้วอ้วน อ้วนแล้วผอม หลายรอบเข้าตัวใหญ่กว่าเดิมทุกครั้งที่กลับมาอ้วน เพราะอะไร ก็เพราะที่ทำมันไม่ได้ไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั่นเอง ต้นเหตุคือ “พฤกติกรรม” ที่ทำให้อ้วนของเรานั่นเอง แล้วจะทำอย่างไร ถึงจะไม่เป็นแบบนั้น ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของ ผศ. ดร. วินัย ดะห์ลัน อ่านแล้วน่าสนใจ วันนี้เลยอยากนำมาแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ทุกคน ได้ไปทดลองทำกันดู

วิธีการนี้ เรียกว่าวิธี สามประสาน คือ ใจ อาหาร และกาย ซึ่งนายริชาร์ด ชิมมอนส์ (Richard Simmons) นักโภชนาการและนักเขียนชาวอเมริกันเคยเขียนเป็นหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คขายดีเมื่อนานมาแล้ว ปัจจุบันวิธีการนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง พวกเราอาจลองนำมาดัดแปลงทดลองใช้ดูก็ได้

การฝึกจิตขั้นที่หนึ่ง คือ ให้กำลังใจตัวเอง การกินให้ผอมต้องเริ่มด้วยการทำลายวงจร ยิ่งอ้วน-ยิ่งกิน-ยิ่งกิน-ยิ่งอ้วน ให้ได้เสียก่อน สิ่งแรกคือ ต้องให้กำลังใจตัวเอง ขั้นแรกคือ เมื่อตื่นขึ้นทุกเช้า ลองเดินไปสำรวจรูปร่างของตนเองหน้ากระจก ไม่ต้องอาย และอย่าลืมปิดล็อกประตูห้องให้สนิทด้วย แล้วให้สัญญากับตัวเองว่าวันนี้รูปร่างต้องดีขึ้นให้ได้ทั้งนี้ เพื่อทำลายความรู้สึกด้านลบที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจออกให้หมด ให้รู้ว่าการลดความอ้วนนั้นยังมีหนทางทำได้ ในปัจจุบันยอมรับกันว่าการปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นสู้กับปัญหา และโรคภัยเป็นหัวใจการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง

การฝึกจิตขั้นที่สอง คือ หลังมื้ออาหารทุกครั้งหากเกิดอาการอยากอาหารขึ้นมาอีก ให้ถามตัวเองว่าจำเป็นต้องกินอีกจริงหรือ ไม่กินได้หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องถามตนเองว่า จำเป็นต้องกินหรือไม่ หากได้ถามตัวเองบ่อยๆจะเกิดความกระดากใจและเลิกกินไปได้เอง การกินจุบจิบหลังมื้ออาหารทำให้อ้วนง่ายที่สุด เพราะพลังงานจากการกินจุบจิบนั้นจะเป็นพลังงานส่วนเกินซึ่งถูกนำไปสะสมเป็นไขมันในทันที เรื่องหนึ่งที่ต้องจดจำไว้ก็คือทุก 250 แคลอรี่ที่ร่างกายได้รับเกินมาหรือเท่ากับพลังงานจากมันฝรั่งทอด 1 ถุง หรือไอศกรีม 1 ก้อน หรือช็อกโกแลต 1 แท่ง จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 34 กรัม หนึ่งเดือนน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม ปีหนึ่งเพิ่มขึ้นได้ถึง 12 กิโลกรัม ดังนั้นจึงต้องหาหนทางลดอาหารว่างหลังมื้ออาหารให้ได้

การฝึกจิตขั้นที่สาม คือ การกำหนดในใจว่า น้อยเหมือนมากทุกครั้ง ที่ตักอาหารเข้าปากให้คิดในใจเตือนตนเองให้ได้ว่าอาหารคำน้อยนี้แหละที่จะกลายเป็นคำใหญ่ ทำให้อ้วนขึ้นได้ในเวลาไม่นานต่อจากนี้ไปเรื่อยในที่สุดจะเริ่มรู้สึกว่าการรับประทานอาหารได้กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น

การฝึกจิตขั้นสุดท้ายเรียกว่า คำปลอบใจท้ายวัน เมื่อถึงเวลาเย็นลองไปยืนหน้ากระจก สำรวจตนเองให้ทั่วแล้วปลอบใจตนเองว่าน้ำหนักตัวลดไม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว จะต้องค่อยๆลด หากวันนี้ลดไม่ได้พรุ่งนี้ต้องลดน้ำหนักลงให้ได้ ทำอย่างนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความท้อแท้เลิกลดอาหารเสียก่อน การให้กำลังใจนั้นเป็นเรื่องจำเป็น ให้กำลังใจตนเองทุกวัน ฝึกจิตความแน่วแน่ของจิตใจให้สม่ำเสมอ ความรู้สึกเกลียดตัวเองที่เคยเป็นอยู่จะละลายหายไปทีละน้อย ความเคารพ ความเข้าใจตนเองจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น จิตใจจะค่อยๆประสานกับการจำกัดปริมาณอาหารได้ในที่สุด

เรียนรู้วิธีการกิน
เมื่อจิตใจมั่นคงแล้วถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้วิธีกิน มีหลายคนเชื่อว่าการไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันมาก ไม่รับประทานกะทิ พิซซ่า เนย นม หรือรับประทานแต่ผักและโยเกิร์ตจะทำให้ผอมลงได้ แต่กลับปรากฏว่าอดอย่างไรก็ไม่ผอม ซ้ำร้ายยังรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอลงไปอีกด้วย
การรับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งน้อยเกินไปจะมีผลทำให้สัดส่วนของอาหารอีกอย่างหนึ่งมากเกินไปโดยอัตโนมัติ การรับประทานอาหารที่ถูกต้องคือต้องรับประทานให้ครบทุกหมู่ จะขาดหมู่ใดหมู่หนึ่งไม่ได้ การรับประทานอาหารมากแต่เพียงหมู่เดียวไม่ใช่วิธีที่ถูก วิธีที่ถูกต้องคือ ควรลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลงแต่ยังต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกส่วน หมั่นรับประทานอาหารให้หลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบทุกส่วนหากปฎิบัติตนตามนี้ได้น้ำหนักตัวจะลดลงได้โดยร่างกายไม่อ่อนแอ สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยนให้ได้คือพฤติกรรมการจัดปริมาณอาหารแต่ละมื้อ อาหารมื้อเช้าควรเป็นมื้อหลัก ตอนเที่ยงอาจเป็นอาหารมื้อหนักอีกมื้อหนึ่งหรือจะลดมื้อกลางวันก็ได้ ส่วนมื้อเย็นควรเป็นมื้อเบาๆ และที่สำคัญคือ ห้ามมีมื้อดึกอย่างเด็ดขาด การรับประทานจนอิ่มแล้วนอนนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง จะทำให้อ้วนได้ง่าย เนื่องจากร่างการไม่ได้นำพลังงานไปใช้ แต่จะนำไปสะสมในร่างกายทำให้เราอ้วนได้ง่ายๆ

ประสานกาย เมื่อประสานใจกับอาหารได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำขั้นต่อไปคือประสานกายร่วมไปด้วยโดยการออกกำลังกายนั่นเอง ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ หลายคนมองการออกกำลังกายคล้ายการทำงาน แค่คิดถึงก็รู้สึกเหนื่อย ขี้เกียจ ไม่อยากทำ มีวิธีการออกกำลังกายง่ายๆที่น่าลองทำ คือ การเปิดเพลงประกอบด้วย จะช่วยให้การออกกำลังกายดูสนุกตื่นเต้นขึ้น คล้ายการเต้นแอโรบิค หรือการเดินให้ได้วันละ 10,000 ก้าว

สามสิ่ง คือ ใจ อาหาร และกายต้องประสานกัน หากทำได้สม่ำเสมอนานเพียงพอจะรู้ว่าการลดความอ้วนไม่ใช่เรื่องยากเลย และเมื่อลดน้ำหนักตัวลงได้แล้วการจะคงน้ำหนักตัวไว้ไม่ให้เพิ่มขึ้นย่อมไม่ยากอีกเช่นกัน เพราะเมื่อถึงตอนนั้น พฤกติกรรมของเราก็จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ รูปร่างใหม่ แต่คงต้องจดจำไว้อย่างหนึ่งว่าหากเกิดอาการขี้เกียจเลิกทำขึ้นมาเมื่อใดความอ้วนจะจู่โจมกลับมาหาทันที

หวังว่าทุกคนจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์กับตัวเองนะคะ ฝากแชร์ด้วยละกัน ถ้าอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์กับเพื่อนๆ ของคุณ

ลิงค์แนะนำ :  ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 67 เหลือ 59 กรูทำได้!

อ้างอิง หนังสือ โภชนาการเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ฉบับผู้บริโภค โดย ผศ. ดร. วินัย ดะห์ลัน

Photo : pixabay.com

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

3 เหตุผลหลักที่ “โปรตีน” เป็นจุดแข็งในการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก

โปรตีน คำนี้เราเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กเรียนชั้นประถมแล้ว ว่าเป็น 1 ในอาหารหลัก 5 หมู่ที่ต้องกินให้ครบ เพื่อสุขภาพ ตอนนั้นเราก็ได้แต่ท่อง ท่อง ท่อง แต่จะมีใครที่รู้จริงจังบ้างว่ามันสำคัญ ลึกซิ้งแค่ไหน หรือโปรตีนมีอะไรมากกว่าแค่ที่เราท่องจำ แล้วที่สำคัญ เมื่อเราโตขึ้นทุกส่วนสัด ทั้งรอบเอว ต้นแขน ต้นขา รวมถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนทนไม่ได้ก็ตัดสินใจเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก มันก็ถึงเวลาที่จะต้องรู้ว่าแล้ว โปรตีนจะช่วยในการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักได้อย่างไร

โปรตีน แปลว่า “ฉันมาก่อน” นั่นแสดงให้เห็นว่า โปรตีนสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งของร่างกายของคนเรา ในร่างกายของคนเรานั้น มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากเป็นอันดับสองรองจากน้ำ  ในกล้ามเนื้อมีโปรตีนมากถึง  1 ใน 3  ในกระดูกมีโปรตีนประมาณ  1 ใน 5  และผิวหนังมีโปรตีนประมาณ 1 ใน 10 จะเห็นว่า โปรตีน อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกายของเรา มิน่าถึงแปลว่า ฉันมาก่อน เป็นแขก วีไอพี เลยสำหรับร่างกายของเรา

โครงสร้างโปรตีน ประกอบด้วยกรดอะมิโน (Amino Acids) หลายชนิดเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์เป็นโพลิเมอร์สายยาว (อ่านผ่านไป ไม่ต้องจำก็ได้) เมื่อเรากินอาหารที่เป็นโปรตีนเข้าไป ภายในร่างกายมีเอ็นไซม์ช่วยย่อยอาหารโปรตีนเหล่านี้อยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เมื่อย่อยเสร็จก็ได้หน่วยที่เล็กลงเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ คือ กรดอะมิโนชนิดต่างๆ และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไปใช้งานในที่สุด

กรดอะมิโนแบ่งออกเป็น   2  ชนิด คือ
กรดอะมิโนจำเป็น (Essential Acid) คือ กรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้จำเป็นต้องได้จากอาหารที่กินเข้าไป โดยกรดอะมิโนจำเป็น มีทั้งหมด 9 ชนิด ได้แก่
1. ฮิสติดีน (Histidine)*
2. ไอโซลิวซีน (Isoleucine)
3. ลิวซีน (Leucine)
4. ไลซีน (Lysine)
5. เมไธโอนีน (Methionine)
6. เฟนิลอะลานีน (Phenylalanine)
7. ธรีโอนีน (Threonine)
8. วาลีน (Valine)
9. ทริพโตเฟน (Tryptophan)
*ฮิสติดีนเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายสำหรับเด็ก

กรดอะมิโนไม่จำเป็น( Non-Essential Amino Acid ) คือกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เอง กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นมีทั้งหมด 11 ชนิด ได้แก่
1. อะนาลีน (Alanine)
2. อาร์จีนิน (Argenine)
3. แอสพาราจีน (Asparagine)
4. กรดแอสพาร์ติก (Aspartic Acid)
5. ซิสตีน (Cystein)
6. กรดกลูตามิก (Glutamic Acid)
7. กลูตามีน (Glutamine)
8. ไกลซีน (Glycine)
9. โพรลีน (Proline)
10. ซีรีน (Serine)
11. ไทโรซีน (Thyrosine)

ร่างกายต้องการโปรตีนแค่ไหน
ร่างกายของเราในแต่ละช่วงอายุจะต้องการปริมาณโปรตีนต่างกันไปตามช่วงอายุ ซึ่งในช่วงทารกถึงเป็นเด็กจะต้องการปริมาณโปรตีนมากกว่า ช่วงที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามว่าร่างกายของเรานำโปรตีนไปทำอะไร โดยกรดอะมิโนในร่างกายจะนำไปสังเคราะห์เป็นโปรตีนเพื่อเป็นองค์ประกอบของอวัยวะต่างๆของร่างกาย หน้าที่ของโปรตีนที่อยู่ในอวัยวะต่างๆ เช่น ในตับ กล้ามเนื้อ และในกระแสเลือด คือ การรักษาสมดุลของไนโตรเจนในร่างกายเรา กรดอะมิโนจากอาหารที่กินเข้าไปจะถูกนำไปสร้างเป็นโปรตีนในรูปของผนังเซลล์ ฮอร์โมนบางชนิด ระบบภูมิคุ้มกันรวมถึงการเป็นตัวขนส่งสารอาหารที่สำคัญไปสู่อวัยวะส่วนต่างๆในร่างกาย

ที่มา : http://nutrition.anamai.go.th/Foodtable/Html/one_plt.html

คุณอาจคิดว่าในวันๆ หนึ่ง แค่กินอาหารตามปกติครบ 3 มื้อ ก็น่าจะได้รับโปรตีนเพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงปริมาณโปรตีนที่คุณได้รับต่อวันจากอาหารอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน ดูจากตารางด้านบนช่อง โปรตีน จะเห็นว่า กินยังไงโปรตีนก็ไม่พอเพียงอยู่ดี อย่างแกงมัสมั่นเนื้อ 100 กรัมก็ให้ปริมาณโปรตีนแค่ 10.2 กรัม ถ้าเราหนัก 50 กิโลกรัม ก็ต้องการโปรตีน 50 กรัม ก็กินมัสมั่นเนื้อประมาณ 500 กรัม เอียนกันเลยทีเดียวเชียวคะ แถมได้พลังงาน ไขมัน เพียบอ้วนแน่นอน

3 เหตุผล ที่โปรตีน ช่วยในการลดน้ำหนัก และรักษาน้ำหนักได้

1. ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ และ อัตราการเผาผลาญ เมื่อพูดถึงมวลกล้ามเนื้อ ก็อย่างที่เรารู้มาว่า ในกล้ามเนื้อมีโปรตีนมากถึง 1 ใน 3  เป็นองค์ประกอบ เมื่อพูดถึงกล้ามเนื้อก็ต้องนึกถึงอัตราการเผาผลาญ คนเราเมื่ออายุมากขึ้น กินเท่าเดิม แต่ทำไมน้ำหนักเพิ่มขึ้น ก็เพราะกล้ามเนื้อของเรามีการสลายลดลง เมื่อกล้ามเนื้อลดลง อัตราการเผาผลาญก็ลดลงตามไปด้วย ทำให้กินแคลอรี่เท่าเดิม น้ำหนักก็ยังเพิ่ม เพราะเหลือมากขึ้นนั่นเอง ปัจจัยที่ทำให้กล้ามเนื้อลดลง เช่น อายุที่มากขึ้น หรือไม่ได้มีการออกกำลังกาย สร้างเสริมเพิ่มเติม หรือได้รับโปรตีนไม่เพียงพอที่ร่างกายจะนำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือสร้างกล้ามเนื้อ หรือคนที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ทุก 4 กิโลกรัมของน้ำหนักที่ลดลง จะเป็นมวลกล้ามเนื้อซะ 1 กิโลกรัม หากเราได้รับโปรตีนไม่เพียงพอในระหว่างการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก

วิธีแก้ง่ายๆ ก็กินโปรตีนเสริมเข้าไปให้เพียงพอเท่านั้นเอง โดยเลือกโปรตีนคุณภาพที่สามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่าย จะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ และอัตราการเผาผลาญไว้ได้

2. ช่วยป้องกันการเกิดการโยโย่ การโยโย่ คือ การที่พอเราออกจากโปรแกรมลดน้ำหนักแล้ว น้ำหนักของเรากลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แถมมันจะเบิ้ลให้เป็นสองเท่าด้วย แบบว่า คืนต้น ทบดอกให้อีกเท่าตัว (หนูไม่อยากได้ เข้าใจมั๊ย) สาเหตุก็เกิดจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปมากระหว่างการลดน้ำหนักนั่นแหละ ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญลดเรี่ยต่ำติดดิน พอกลับมากินปกติ เรียบร้อย โยโย่ อ้วนหนักกว่าเดิม

วิธีแก้ไขก็เหมือนข้อแรก ย้อนขึ้นกลับไปอ่านได้เลย เพราะถ้าเรารักษามวลกล้ามเนื้อไว้ได้ ก็จะสามารถคงอัตราการเผาผลาญไว้ได้ ส่งผลให้ไม่โยโย่ตามมานั่นเองนะแจ๊ะ!!!

3. ช่วยให้ไม่โทรม เหี่ยวย่น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง หลายคนที่ลดน้ำหนักแล้ว ดูโทรม เหี่ยว ย่น เชียว จนเพื่อนถามว่า เป็นโรคอะไรหรือเปล่า (ช่างทำร้ายจิตใจแสนสาหัส ตรูลดน้ำหนักโว้ย!!) ถ้าไม่อยากให้เพื่อนถามแบบนั้น โปรตีนช่วยได้ ก็อย่างที่บอกโปรตีนอยู่ในผิวหนังถึง 1 ใน 10  แล้วผิวหนังทั่วตัวพื้นที่ตั้งเท่าไหร่ ปกปิดไม่มิด

วิธีแก้ก็กินโปรตีนให้พอเพียงระหว่างการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก แค่นั้นเอง กินอาหารปกติไม่พอ ก็เสริมเข้าไป ลองดู แล้วผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ตึงเปรี๊ยะ (หูตึง ช่วยไม่ได้นะคะ)

แถมท้ายแล้ว โปรตีนคุณภาพต้องเลือกยังไง

1. ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด (ชนิดร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้)
2.เป็นโปรตีนที่ปราศจากไขมัน และโคเลสเตอรอล
3.สามารถควบคุมวัตถุดิบ กระบวนการผลิตได้

หวังว่าทุกคนจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์กับตัวเองนะคะ ฝากแชร์ด้วยละกัน ถ้าอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์กับเพื่อนๆ ของคุณ

ลิงค์แนะนำ :  ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 67 เหลือ 59 กรูทำได้!

Photo : pixabay.com

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

เลปติน คืออะไร เกี่ยวยังไงกับการลดน้ำหนักกันละเนี่ย!

หิว หิว หิว ทำไมกินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม แบบนี้อ้วนตายกันพอดีเลยค่ะ เพื่อนๆ หลายคนก็อ้างว่า “ก็คนมันกำลังเติบโต ก็กินเยอะเป็นธรรมดา ไม่เห็นจะแปลก” ไม่แปลกหรอกค่ะ ถ้าไม่เพราะตอนนี้ แกอ้วนกลมจนจะกลิ้งแทนใช้เท้าเดินแล้ว เคยนั่งดูเพื่อนกินแล้ว คิดกันมั๊ยคะว่า เมื่อไหร่ เพื่อนเรามันจะอิ่ม หรือว่าเราก็เป็นแบบเพื่อนเราด้วยเหมือนกัน คือ กินไม่รู้จักอิ่ม ผลคือ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจนอ้วน จนมาได้ความรู้จากการอบรมหนึ่ง ว่าที่เรากินไม่รู้จักอิ่มเพราะ ฮอร์โมนตัวนึง ชื่อ เล็บตีน อุ๊ย! ไม่ใช่ ไม่สุภาพ เสียภาพกุลสตรีหมดเลย อิอิ!!! เขาเรียกว่า ฮอร์โมนเลปติน มาดูกันว่า มันคืออะไร ทำงานยังไงในร่างกาย แล้วจะแก้ปัญหาเลปตินได้อย่างไร

เลปตินคืออะไร

เลปติน เป็นฮอร์โมนตัวนึงที่ส่งสัญญาณให้สมองของเรารู้ว่า กินพอแล้ว และต้องอิ่มได้แล้ว มันผลิตขึ้นมาจากเซลไขมัน (adipocytes) มีหน้าที่รักษาระดับความผอมของร่างกาย โดยปกติของคนที่ขาดเลปตินจะมีผลทำให้อยากกินจุ คือ กินไม่รู้จักอิ่ม อิ่มเป็นยังไง ไม่รู้จัก เมื่อไม่รู้จักอิ่ม ก็กินเข้าไปเยอะ ทำให้อ้วน น้ำหนักเพิ่มขึ้น และแล้วโรคจากความอ้วนก็ตามมา เช่น เบาหวาน หัวใจ มะเร็ง ความดัน ฯลฯ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการขาดเลปติน แต่จะเป็นการสูญเสียความไวของตัวรับเลปติน หรือที่เรียกว่า การดื้อต่อเลปติน (Leptin resistance) ซึ่งลักษณะการเกิดก็คล้ายๆ กับการดื้อต่ออินซูลิน นั่นคือถึงเซลไขมันจะหลั่งฮอร์โมนเลปตินออกมามากพอเพื่อให้หยุดกินแล้วก็ตาม แต่กลไกตัวรับเลปตินของคนผู้นั้นทำงานไม่สมบูรณ์จึงทำให้หิวอยู่และกินได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักอิ่ม แหมแบบนี้ก็ดีนะคะ กินบุฟเฟ่คุ้มดี อ่ะ! หยอก หยอก

การทำงานของเลปติน คือ

  1. ควบคุมความอยากอาหาร คนที่มีการทำงานของร่างกายเป็นปกติเมื่อรับประทานอาหารให้ได้พลังงานเพียงพอแล้ว เซลไขมันจะมีการผลิตเลปตินเพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของเซรุ่มเลปตินนี้จะส่งสัญญาณให้ไฮโปธาลามัสหยุดความหิว โดยไปจับบริเวณรับเลปตินของสมองส่วนไฮโปธาลามัส (hypothalamus) ทำให้เรารู้สึกอิ่มแปล้หยุดกินอาหารได้
  2. เพิ่มความสามารถของร่างกายที่จะเอาไขมันที่เก็บสะสมอยู่ออกมาใช้ให้เป็นพลังงานได้ แบบนี้รูปร่าง ส่วนเกินลดลงสวยงามเลยเชียว

ส่วนการดื้อต่อเลปตินจะเกิดขึ้น เมื่อเริ่มมีน้ำหนักตัวเกินจะทำให้ระดับฮอร์โมนเลปตินสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาการดื้อต่อเลปตินมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับอาการดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งมีความคล้ายกันตรงที่ ไม่ว่าจะเป็นการดื้อต่ออินซูลิน หรือการดื้อต่อเลปตินก็ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังขึ้นได้โดยตรงไปพร้อมๆ กับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้ลดน้ำหนักได้ยากเย็นมากขึ้น แถมยังคงทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ นอกจากจะทำให้รูปร่างไม่น่าดู น่าพิศมัยแล้ว ยังมีห่วงยางรอบพุง ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหลายชนิด เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง สโตรก และความจำเสื่อม อีกด้วย

วิธีแก้อาการดื้อเลปติน ก่อนอื่นต้องป้องกันการอักเสบที่เกิดทั่วทั้งร่างกาย (systemic inflammation) ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีโรคต่างๆเกิดขึ้นตามมาได้รวมทั้งอาการดื้อต่อเลปตินและอินซูลิน โดย

Processed with MOLDIV

  • รับประทานผัก หลากหลายชนิดให้มากในทุกๆ วัน และพยายามใส่เครื่องเทศต่างๆลงในอาหารเพราะว่าเครื่องเทศเป็นสารต้านการอักเสบ เช่น หอม กระเทียม ขมิ้นชัน พริกไทย เป็นต้น
  • รับประทานอาหารเสริมกรดไขมันจำเป็น โอเมก้า 3 มีสรรพคุณในการต้านการอักเสบที่เกิดทั่วทั้งร่างกาย
  • รับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี อี โคเอ็นไซม์คิว 10 เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบภายในร่างกาย
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

หากเราสามารถทำได้ตามด้านบน เราจะสามารถขัดขวางการอักเสบทั้งร่างกาย ทั้งยังช่วยรักษาระดับน้ำหนักตัวให้เหมาะสมได้ด้วย

วิธีแก้ไขอาการดื้อต่อเลปตินและอินซูลิน

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไกลซีมิกอินเด็กซ์สูง อาหารที่ใส่น้ำตาล ฟรุ๊คโตส
  • รับประทานโปรตีนให้พอเหมาะ พอเพียง
  • รับประทานไขมันชนิดดีให้มากขึ้น

มาถึงตอนนี้แล้วรู้จักเลปตินกันแล้วใช่มั๊ยคะ ลองสังเกตุตัวเองดีๆ ว่าเป็นคนกินจุ ไม่รู้จักอิ่มหรือเปล่า ถ้าเป็นลองแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่บอกมาดูนะคะ แล้วสุขภาพดี รูปร่างดี มีออร่าก็จะเป็นของเราทุกคน

Photo : pixabay.com

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

 

ข้อดี ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับ โอเมก้า 3 ว่าทำไมถึงเป็น Happy Fat

“กินปลาได้โอเมก้า 3 ดีต่อสุขภาพ” เรามักจะได้ยินบ่อยๆ จากโฆษณา บทความต่างๆ แล้วเรารู้กันหรือไม่คะว่า โอเมก้า 3 มีดีต่อสุขภาพของเรามากกว่าที่เราคิด แทบจะเรียกได้ว่า โอเมก้า 3 เป็นสารอาหารที่จำเป็น ที่ต้องได้รับเหมือน วิตามิน โปรตีน เกลือแร่ ธาตุอาหารหลักเลยทีเดียว โอเมก้า 3 เป็น ไขมันที่ดีต่อสุขภาพของคนไทยในปัจจุบันที่ต้องผจญกับโรคภัยคุกคาม จากวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปคะ ดูจากปัจจุบันที่คนเป็นโรคต่างๆ อายุน้อยลงไปเรื่อยๆ  ตอนนี้อยากรู้หรือยังว่า โอเมก้า 3 ทำไมถึงเป็น Happy Fat ที่ทำให้ชีวิตเรามีความสุขได้

มาดูกันก่อนว่าโอเมก้า 3  คืออะไร

โอเมก้า 3 คือ กลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวชนิดหนึ่ง เป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก ร่างกายของคนเราขาดโอเมก้า 3 ไม่ได้ แต่กลับสร้างเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้รับจากการทานอาหารที่มีปริมาณโอเมก้า 3 เข้าไป เพื่อให้ร่างกายของเราใช้งาน

 

โอเมก้า 3 มี กรดไขมันอีพีเอ (EPA), กรดไขมันดีเอชเอ (DHA) และกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (ALA) อาหารที่พบว่ามีปริมาณโอเมก้า 3 เยอะ ได้แก่ อาหารจำพวกปลาและอาหารทะเล โดยเฉพาะจำพวกปลาน้ำเย็น เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ชั้นดี นอกจากนี้ยังพบโอเมก้า 3 ได้จาก ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท เมล็ดฟักทอง ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง โยเกิร์ต น้ำผลไม้ นม น้ำนมถั่วเหลือง หรืออาหารทารกบางอย่าง เป็นต้น

 

ประโยชน์ที่เราจะได้รับจาก โอเมก้า 3 ดูว่าทำให้เรา Happy ได้ยังไง

– ป้องกันโดยลดการเกิดลิ่มเลือดในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดอุดตันเฉียบพลัน
– ช่วยในการเผาผลาญไขมันที่ไม่ดี
– ช่วยให้เซลล์แข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับ
– ช่วยบำรุงระบบการทำงานของหัวใจทั้งระบบให้ทำงานได้ดี
– ช่วยควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
– ป้องกันและลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคความดัน โรคเบาหวาน
– ช่วยควบคุมความดันโลหิตโดยกลไกลเกี่ยวกับพรอสตาแกลนดิน
– ช่วยควบคุมการอักเสบ ปวดบวม ของโรคปวดข้อรูมาตอยด์
– ช่วยป้องกันการอักเสบของโรคผิวหนังบางชนิด
– ช่วยลดความหนืดของเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกดีขึ้น
– DHA สำคัญต่อการพัฒนาสมองและเรตินาของดวงตา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหน้า คอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลา
– ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
– ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความจำเสื่อมอัลไซม์เมอร์ โรคสมาธิสั้น
– DHA สำหรับสตรีตั้งครรภ์ช่วงเดือนที่  4-6 จะช่วยทำให้มีสุขภาพครรภ์ที่ดี
– ช่วยเพิ่มน้ำหนักเด็ก และ ลดอัตราการคลอดก่อนกำหนด
– ช่วยให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ กระชับ ชุ่มชื้น น่าสัมผัส

 

ถ้าเราดูจากแหล่งที่มาของโอเมก้า 3 แล้ว จะเห็นว่าเรามีโอกาสขาดโอเมก้า 3 ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงพอดู ขนาดแหล่งที่ดีอย่างปลา ก็ส่วนใหญ่เป็นปลาน้ำเย็น อ๊ะ! แล้วบ้านเราอยู่เขตร้อนทำไงดี แต่ก็มีขายในซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารต่างๆ เหมือนกันคะ พอมาดูราคาก็สตั๊น แป๊บ!!! คนมีกะตังค์มากๆ ก็โอเค กินทุกวันยังได้ ส่วนมนุษย์เงินเดือนคนเดินดิน กินข้าวแกงแบบเราทำยังไงดีที่จะทำให้เราได้รับโอเมก้า 3 ทุกวันได้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า 3 ไงละคะ เป็นทางเลือกที่ง่าย สะดวก และประหยัด ไม่ต้องเสียเวลาไปหาปลามากิน (ยกเว้นวันนั้นอยากกินปลาสดๆ ปลาของข้า โอเมก้า 3 ของข้า แฮ่! อิอิ!!) แล้วเราจะเลือกยังไงดี มาคะ จะบอกให้ว่าเลือกยังไง ถึงจะได้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า 3 ที่มีคุณภาพดี เพื่อสุขภาพของเรา ตามนี้เลยคะ

มีการยืนยันจากหน่วยงาน หรือห้องแลปต่างๆ ก็เป็นสิ่งยืนยันในคุณภาพได้ในระดับนึงได้เลยว่า โอเค เช่น ในที่นี้ขอใช้ข้อมูลน้ำมันปลาของนิวทริไลท์ น้ำมันปลา นะคะ เพราะกินอยู่ทุกวัน  โดยได้รับการยืนยันจาก Consumerlab ว่าเป็นน้ำมันปลา 1 ใน 2 แบรนด์ทั่วโลก ที่มีปริมาณโอเมก้า 3 ตามที่ระบุจริง คือ ปริมาณ EPA+DHA = 140 มก. (EPA 80 มก., DHA 60 มก.)
ต้องสกัดจากปลาแซลมอล จากทะเลมหาสมุทรแอตแลนติก เพราะเป็นแหล่งที่ปลาแซลมอนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงที่สุด ปลอดภัยไม่ใช่แซลมอนเลี้ยงกระชัง โด้ปยา เป็นแซลมอนธรรมชาติ กินแพลงตอนเป็นอาหาร
– ต้องให้กรดไขมัน โอเมก้า 3 ซึ่งประกอบด้วย EPA และ DHA
ควรมีสัดส่วนของ EPA และ DHA เป็นอัตราส่วน 4:3 เป็นสัดส่วนที่มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง เช่น EPA 80 มก. : DHA 60 มก.
ควรมีส่วนผสมของวิตามินอี ซึ่งเป็นตัว Antioxidant เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำมันปลา ไม่ให้เกิดการ Oxidation กลายเป็นอนุมูลอิสระตัวร้าย
บรรจุในแคปซูลนิ่มรักษาคุณภาพ รับประทานง่าย ไม่ใช้สีสังเคราะห์ วัตถุปรุงแต่งรส และ วัตถุกันเสีย
ได้รับการรับรองเป็นผลิตภัณฑ์ฮาลาล IFANCA สำหรับผู้บริโภคที่เป็นมุสลิม

เปรียบเทียบน้ำมันปลาชนิดแคปซูล (90 เม็ด 800 บาท = 8.88 บาทต่อเม็ด รับประทาน 1-2 แคปซูล) กับอาหารที่เป็นแหล่งโอเมก้า 3 
– ปลาแซลมอลสด กิโลกรัมละ 390-450 บาท แซลมอลที่ดีต้องมาจากมหาสมุทรแอตแลนติก
– แซลมอลสเต็ก จานละ 270-300 บาท
– ปลาทูสด 2 ตัว (ขนาดกลาง) เข่งละ 30-35 บาท

มาถึงตรงนี้แล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างคะ “ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” แต่การที่เราจะได้ลาภอันประเสริฐนี้ เราต้องลงทุนดูแลสุขภาพของเราในทุกๆ วันให้ดี ไม่ใช่ดูแลแค่ตอนที่จะตรวจสุขภาพประจำปี เหมือนจะเข้าสอบ แล้วกลัวไม่ผ่าน ไม่อย่างนั้น เราอาจจะต้องมาพูดว่า “รู้อย่างนี้……………!!!!!” มันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้คะ

Photo : pixabay.com

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

    Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

6 ข้อดีที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับบอดี้คีย์

จากประสบการณ์ที่ได้เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักด้วยตัวเอง และมีโอกาสได้ดูแลเพื่อนๆ ที่ต้องการลดน้ำหนัก โดยใช้ผลิตภัณฑ์ของบอดี้คีย์ พบว่าคนส่วนใหญ่รู้แค่ว่า บอดี้คีย์ช่วยลดน้ำหนัก แต่ความเป็นจริงแล้ว บอดี้คีย์ มีข้อดีมากมายที่คนที่แนะนำเราบางคนไม่ได้บอกให้เราทราบ หลายๆ คนไม่รู้ วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังว่า บอดี้คีย์มีดีอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยดีกว่า ว่า 6 ข้อดีของบอดี้คีย์มีอะไรบ้าง

  1. บอดี้คีย์ ทำให้เราควบคุมแคลอรี่ได้ง่ายๆ เพราะให้พลังงานแค่ 130 แคลอรี่ ต่อ 1 ซอง สาเหตุที่เราอ้วน เพราะเรา กิน มากกว่า ใช้ เพราะฉะนั้นการควบคุมแคลอรี่ที่กินให้น้อยกว่าที่ใช้ ถึงทำให้น้ำหนักของเราลดลงได้ แต่ว่าการควบคุมแคลอรี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับคนทั่วไป คงไม่มีใครมานั่ง ชั่งตวงวัดอาหารว่า เรากินเท่านั้น เท่านี้ ไม่มีเวลา บอดี้คีย์ แค่ฉีกซองผสมน้ำเย็น 250 ซีซี เขย่าๆ แล้วดื่ม เราก็ควบคุมพลังงานได้ที่ 130 แคลอรี่ แถมสารอาหารครบถ้วนกระบวนความ แค่นี้ ง่ายๆ
  2. บอดี้คีย์ ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อมื้อครบถ้วนทุกหมู่ การลดน้ำหนักด้วยการควบคุมแคลอรี่ ถ้าได้แค่ แคลอรี่น้อยอย่างเดียว แต่สารอาหารไม่ครบ จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร มวลกล้ามเนื้อหาย อัตราการเผาผลาญก็ลดลง น้ำหนักลดลงน้อยถึงไม่ลดเลย ร่างกายก็จะแย่ไปด้วย
  3. บอดี้คีย์ ได้รับการรับรองจาก อย.  มั่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่นอน เพราะบอดี้คีย์ขอ อย. เป็น “อาหารสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก” ถูกต้องตรงประเด็นเลยคะ ไม่ได้มีการบิดเบือน เล่นแร่แปรธาตุแน่นอน เราสามารถตรวจสอบได้ว่าถูกต้องปลอดภับ รับรองโดย อย.
  4. บอดี้คีย์ อร่อย มีให้เลือกหลายรสชาติ ได้แก่ รสกาแฟ รสวานิลา และรสช็อกโกแลต ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนรสชาติได้ ไม่เบื่อ กินซ้ำตลอดก็ไม่ไหวเหมือนกันนะคะ เป็นซองพกพาได้ง่าย สะดวกมากๆ
  5. บอดี้คีย์ รับประกันความพึงพอใจ ไม่พอใจยินดีคืนเงิน ซึ่งยี่ห้ออื่นไม่มี อันนี้เนี่ยมันสุดยอด จะมีใครกล้ารับประกันแบบนี้ รับประกันโดยเอาความพึงพอใจของคนกินเป็นที่ตั้ง ถ้าไม่มั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเองจริงๆ ไม่กล้าหรอก มีโอกาส เจ๊งเลยเชียว ! คนจ่ายตังค์ซื้อกินก็สบายใจ กินแบบมีความสุข 
  6. บอดี้คีย์ ใช้วัตถุดิบที่ปลูกเอง เพราะมีฟาร์มเป็นของตัวเอง  ผลิตเอง เพราะมีโรงงานของตัวเอง เพาะปลูกด้วยระบบฟาร์มชีวภาพ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีใดๆ ในการเพาะปลูก น่าจะเป็นยี่ห้อเดียวนะคะ ที่เพาะปลูกเอง มีโรงงานผลิตเอง ทำให้เรามั่นใจได้ในคุณภาพของบอดี้คีย์ จุดสำคัญของฟาร์มชีวภาพ คือ พื้นที่เพาะปลูกต้องไม่เคยเพาะปลูกหรือใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลงใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าวมาก่อนเลย แค่นี้ก็ยากแล้วในการหาพื้นที่ทำฟาร์มชีวภาพ เมืองไทยคงหมดสิทธิ์ เพราะบ้านเราใช้ยาฆ่าแมลงกัน ครึกโครมมาก

เป็นอย่างไรบ้างคะ 6 ข้อดีของบอดี้คีย์ หวังว่าจะเป็นข้อมูลให้กับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนักได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะคะ ” คิดจะลดน้ำหนักแบบได้ผล ปลอดภัย คิดถึง บอดี้คีย์ “ อ่านแล้วดี ฝากช่วยแชร์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

Photo : pixabay.com

เป็นเพื่อนกันนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคน พูดคุยกันได้

    Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

ลดน้ำหนักได้ดังใจ กับ 7 เคล็ดลับอย่างง่ายๆ

พอพูดถึงเรื่องการลดน้ำหนัก สาวๆ หนุ่มๆ ส่วนใหญ่ร้อง จ๊าก! กันเลยค่ะ ร้องทำไมคะ ก็มันรู้สึกสุญเสีย อดทำในสิ่งที่ชอบ มันต้องทรมานแน่ๆ ใจเย็นๆ วันนี้เอาเคล็ดลับการลดน้ำหนักมาฝากกัน ที่สำคัญมันง่ายมาก มาดูกันว่า 7 เคล็ดลับง่ายๆ มีอะไรบ้าง
 1. สม่ำเสมอ ในเรื่องของการลดน้ำหนักนั้น คุณจะต้องมีความสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญ  เป็นเคล็ดลับข้อหนึ่งที่สำคัญที่สุด ความสม่ำเสมอคือ การทำเป็นประจำปกติ ไม่มากไม่น้อย พอดี เช่น การกิน เมื่อเรามีเป้าหมายลดน้ำหนัก เราต้องกินให้แคลอรี่น้อยกว่าแคลอรี่ที่เราใช้ ในทุกๆ วัน  ย้ำทำทุกวันสม่ำเสมอ น้ำหนักของเราก็จะลดลงสม่ำเสมอเช่นกัน

 2. กินอาหารมื้อเช้า ควรเป็นอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย เพราะ อาหารที่มีปริมาณของน้ำตาลสูง จะทำให้ร่างกายต้องหลั่งอินซูลินออกมามากเช่นกัน เพื่อลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือด หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงน้ำตาลในกระแสเลือดจะลดต่ำลงเร็วมาก จะทำให้ร่างการเกิดอาการหิวโหยอย่างรุนแรง ร่างกายขาดพลังงาน ก็ทำให้เราหิวอีก กลายเป็นคนหิวบ่อย กินเยอะ สุดท้าย อ้วน นะแจ๊ะ! สังเกตุดูจะเห็นว่า คนอ้วนส่วนใหญ่ หิวบ่อย หิวเร็ว และชอบกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง

 3. มื้อเที่ยง ควรเป็นอาหารประเภทผัก เพิ่มเติมปริมาณของโปรตีน และน้ำมันที่มีประโยชน์อีกเล็กน้อย เพราะมันจะทำให้คุณอิ่มนานขึ้น กินน้อยลง

 4. ใช้ภาชนะใส่อาหารที่มีขนาดเล็กลง ภาชนะขนาดเล็กทำให้เราตักอาหารน้อย กินน้อย แคลอรี่ไม่มากเกินไป เมื่อเทียบกับภาชนะใส่อาหารขนาดใหญ่  ตอนเราตักอาหารใส่ เราจะรู้สึกว่ามันน้อย ทำให้เราตักเพิ่มตามขนาดของภาชนะที่ใหญ่ ทำให้เรากินเยอะตามไปด้วย

 5. กินก่อนมื้ออาหาร  ในแต่ละมื้อปกติให้เรากินก่อน เช่น แอปเปิล 1 ลูกก่อนมื้ออาหารประมาณ 15 นาที จะทำให้คุณกินอาหารน้อยลง  เพราะมีแอปเปิ้ลอยู่ในกระเพาะแล้ว แถมแอปเปิ้ลแคลอรี่ก็น้อยมากแค่ 70 แคลอรี่ เป็นการควบคุมแคลอรี่ได้ดีขึ้น

 6. นอนให้เร็วขึ้น เข้านอนก่อน  4 ทุ่ม ในแต่ละวันนอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง อย่านอนดึก เพราะพอเรานอนดึก อาจจะหิวและกินอาหารอีก แล้วนอนทันทีร่างกายจะเปลี่ยนพลังงานเป็นไขมันนำไปเก็บทันที ทำให้เราอ้วนได้ นอกจากลดน้ำหนักได้แล้วยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย

 7. พยายามใส่  SKINNY JEANS  อย่างน้อย  1 ครั้งใน  1 สัปดาห์ แนะนำให้ใส่ในวันศุกร์ เพราะวันศุกร์มักเป็นวันที่คนส่วนมากจะสังสรรค์กับเพื่อน ครอบครัว และกินอาหารเยอะมากการใส่ SKINNY JEANS มันรัด ฟิต ทำให้เรากินนิดเดียวก็แน่นแล้ว ทำให้เรากินได้น้อยลง แถมใส่แล้วดู เฟี้ยวอีกต่างหาก ดูดีด้วย

ดูเคล็ดลับทั้ง 7 แล้ว เป็นยังไงบ้างคะ ง่ายใช่มั๊ย ? ลองเอาไปทำกันดู แล้วรูปร่างที่ดีจะกลับมาเป็นของพวกเราทุกคนค่ะ

Photo : pixabay.com

 

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

สวยแบบแม่นาย แม่หญิงในละครบุพเพสันนิวาสต้องกินเยี่ยงไร ฤา?

ช่วงนี้ใครไม่ดูละครบุพเพสันนิวาส ทางช่อง 3 ถือว่าเชยนะเจ้าคะ แถมคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก ชอบกันทั่วบ้าน ทั่วฟ้าเมืองไทย จนกลายเป็นกระแสฟีเวอร์กันไปถึงเมืองนอก เมืองนา มีสิ่งหนึ่งที่ดูแล้วชอบ คือ ตัวละครในเรื่องนี้ แต่งชุดไทย ห่มสไบกันสวยทุกคน ผิวนวล หุ่นนี่ดีเหลือเกิน อีชั้นก็อยากสวยเช่นแม่นาย แม่หญิง ในละครบุพเพสันนิวาสบ้าง จะได้มีพี่หมื่นมาเมียงมองสักคน ขอหมื่นเดียวก็พอนะเจ้าคะ มาดูกันดีกว่าว่า ถ้าจะสวยต้องมีอะไร ทำเยี่ยงไรบ้าง เริ่มเลยนะเจ้าคะ

1. ผิวหนัง ต้องไม่มีรอยเหี่ยวย่น มีความยื่นหยุ่น สดใส ถ้าจะดูว่าผิวของเราว่ามีความยืดหยุ่นหรือไม่ ให้เราใช้ปลายนิ้วชี้ กดที่ผิวหนังนะเจ้าคะ แล้วปล่อยโดยให้สังเกตุว่า บริเวณที่ถูกกดนั้นเด้งดึ๋งกลับมาที่เดิมใช้เวลานานแค่ไหน ถ้าเด้งทันที แสดงว่ามีความยืดหยุ่นมาก ถ้าค่อยๆ คืนตัว ก็แสดงว่ามีความยืดหยุ่นน้อย บางคนกดไปไม่คืนเลยแสดงว่าผิวมีปัญหา น่าเศร้าใจ

สารอาหารที่จะช่วยให้ผิวสวยดังการะเกดได้ คือ
โปรตีน ต้องเพียงพอ มิฉะนั้นจะมีกล้ามเนื้อไม่เพียงพอต่อความยืดหยุ่นของร่างกาย นอกจากนี้โปรตีนยังช่วยกักเก็บน้ำให้อยู่ในเซลล์ ทำให้ผิวมีน้ำมีนวลดูเปล่งปลั่งสดชื่น ดูสุขภาพผิวดี น่าคลอเคลียนะคะ คุณพี่หมื่น

วิตามินซี และคอลลาเจน ทำให้ผิวเราเนียนเรียบ และเมื่อบวกกับโปรตีน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นสูง 

กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งประกาย และสุขภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่โอเมก้า 3 เข้าไปสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ช่วยคงความชุ่มชื้นและแข็งแรง ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน ส่งผลให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์และสดใส 

วิตามิน อี  + เบต้าแคโรทีน  และวิตามินดี จะช่วยปกป้องการเกิดสิว ไม่ว่าจะเป็น สิวหัวขาวและหัวดำ ส่งผลให้ผิวเกลี้ยงเกลาไร้สิวกวนใจ

2. เส้นผม จะต้องดีสุขภาพดี ไม่หยาบเหมือนไม้กวาด ผมไม่ร่วง ไม่มีขี้รังแค นุ่มสลวย

สารอาหารที่จะช่วยให้สุขภาพผมดี เหมือนแม่หญิงปานวาด คือ
โปรตีน ถ้ามีเพียงพอผมจะไม่แตกปลาย  เพราะองค์ประกอบของเส้นผมก็คือ โปรตีนนี่เอง แต่จะทำให้ผมยาวเร็วกว่าปกติ เล็บก็เช่นกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีมิใช่เหรอ

โอเมก้า 3 ทำให้รูขุมขนของเส้นผมแข็งแรง ช่วยให้เส้นผมที่งอกใหม่มีความหนา และช่วยลดการอักเสบที่นำไปสู่การสูญเสียเส้นผมของออเจ้าได้

วิตามินบีรวม ทำให้ผมมีสุขภาพดี ซึ่งรวมถึงไบโอติน และกรด  Pantothenic (วิตามินบี 5) ไบโอตินมีประโยชน์ต่อเส้นผมของคุณอย่างมาก สามารถช่วยดูแลเส้นผมที่ได้รับความเสียหายจากการสระผม แสงแดด การไดร์เป่าแห้ง และการยืดเส้นผมด้วยความร้อน ลดอาการเส้นผมหงอกก่อนวัย และลดการหลุดร่วงของเส้นผม ในขณะที่วิตามินบี  5 ช่วยให้ต่อมหมวกไตแข็งแรง เพราะถ้าต่อมหมวกไตไม่แข็งแรง จะส่งผลไปสู่เส้นผม ทำให้ผมร่วง ผมบาง และแห้งเสีย 

3. รูปร่างที่ดี และการควบคุมไขมัน (Fatty Control & Body Shape)
ขอให้ทุกคนจำค่า BMI ของตัวเองให้ได้ BMI มาตรฐาน จะต้องอยู่ระหว่าง 18.5-23.0 ถ้าจะให้มีรูปร่างที่ดีระวังอย่าให้ค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 เพราะจะมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพได้ การออกกำลังกายที่ถูกต้องง่ายๆ ทำให้สามารถลดไขมันส่วนเกินได้ วิธีการคำนวณหาค่า BMI คือใช้สูตร น้ำหนัก/ส่วนสูงเป็นเมตร ยกกำลังสอง ตัวอย่าง เช่น น้ำหนัก 76 กก. สูง 165 ซม. ก็คำนวณได้ค่า BMI ตามนี้  76 / (1.65 x 1.65) = 28 หรือง่ายสุดอาจจะหาแอพ มากรอกข้อมูลคำนวณให้เลยก็ง่ายดี

สารอาหารที่ช่วยให้เรามีรูปร่างดี และควบคุมไขมันได้ คือ
วิตามินบีรวม ต้องกินมากขึ้น เพื่อการเผาผลาญไขมันได้สมบูรณ์ ช่วยลดไขมันและไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกายได้

เลซิติน เพื่อลด  LDL ควบคุมไขมันที่ไม่ดีให้น้อยลง

โปรตีน ช่วยให้มวลกล้ามเนื้อดี ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญดีไปด้วย ทำให้เราไม่อ้วน และลดอาการหิวให้กับเราได้

อาหารทดแทนมื้ออาหาร ที่ให้สารอาหารครบถ้วน และให้ปริมาณแคลลอรี่ที่ต่ำ ทำให้เราสามารถควบคุมแคลอรี่ได้ง่าย แถมได้สารอาหารครบ ระบบเผาผลาญก็ดีไปด้วย

4. ผิวหน้าที่ขาวสดใส สมดุล ไม่มีกระฝ้า ปราศจากจุดด่างดำ รอยหมองคล้ำ

สารอาหารที่ช่วยให้ผิวหน้าของ ออเจ้า ขาวสดใสได้  คือ
 – วิตามินซี เป็นสารช่วยความขาวตามธรรมชาติ ไม่ได้หมายความว่า จากดำเป็นขาว เหมือนไมเคิล แจ๊คสัน  แต่จะเป็นลักษณะสว่างใสกระจ่างแบบนั้นแล                                                     

วิตามิน อี อะไรที่เกี่ยวข้องกับสีผิวที่คล้ำ วิตามินอีสำคัญมาก วิตามินอีเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ในส่วนที่เป็นไขมัน เมื่อไหร่ที่เกิดออกซิไดท์ ก็จะทำให้เกิดสีผิวคล้ำได้ วิตามินอี จะช่วยลดการออกซิไดท์ได้

5 ผิวหน้าที่มีสีแดงเรื่อๆ ผู้หญิงที่สุขภาพดีเมื่อออกกำลังกายเพียงเล็กน้อยหน้าก็จะมีสีแดงเรื่อๆ จะเป็นผู้หญิงที่สวยและเซ็กซี่มาก แต่ถ้าเห็นผู้หญิงที่สวยมาก เมื่อออกกำลังกายแล้วหน้ากลับซีดเขียวลงไม่มีสีเลือดเลย กรณีนี้น่ากลัวต้องระวังเพราะแสดงว่ามีปัญหามากมายในร่างกาย

สารอาหารที่ช่วยให้ผิวหน้าแดงระเรื่อ คือ                                                                                        – โปรตีน หนึ่งในอาหารหลักห้าหมู่ เป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างเนื้อเยื่อ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในอวัยวะต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ผิวให้กลับมาดูดีสีชมพูระเรื่อ      

เลซิติน   กรดไขมันบางชนิดในเลซิติน ช่วยหล่อเลี้ยงและบำรุงผิวพรรณให้นุ่มนวลสดใส ปราศจากริ้วรอย เหี่ยวย่น ช่วยรักษาโรคเรื้อนกวางผิวแตกกระแห่งโรคผื่นแพ้ หน้ามัน และสิวได้อย่างดี                                                                                                                                                   

เหล็ก (Iron) เป็นธาตุสำคัญในการสร้างฮีโมโกลบิน (สารสีแดงในเม็ดเลือด) ช่วยขนส่งออกซิเจน  ไปทั่งร่างกาย และกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเนื้อเยื่อ การขาดเกิดภาวะโลหิตจางทำให้ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ผิวหน้าซีด ไร้เลือกฝาด

6. สิ่งที่เห็นจากภายนอก เช่น ตา ริมฝีปาก และฟัน ผิวหน้าสวยที่เห็นจากภายนอกบางครั้งอาจจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีคุณภาพด้วย รวมทั้งการได้รับสารอาหารที่สมดุลอย่างพอเพียงกับความต้องการของร่างกาย การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย ปราศจากความเครียด รวมกัน

7. การชลอความแก่ (Anti Aging) การที่เราจะทำให้ดูหนุ่มหรือสาวตลอดเวลา เราต้องรู้วิธีทำความสะอาดร่างกาย สาเหตุของความแก่ ก็เพราะในร่างกายมีสารพิษหรืออนุมูลอิสระมากเกินไป รวมทั้งการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ การดูดซึมสารอาหารก็ไม่ดี จึงทำให้ดูมีอายุหรือแก่เร็ว การล้างสารพิษตามที่กล่าวมาแล้วนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดี แล้วจึงต้องตามด้วยสารอาหารที่สมดุล เพื่อสร้างพลังงานและภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เป็นการชลอความแก่ให้มาหาเราช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เป็นเช่นไรกันบ้าง ออเจ้า อ่านแล้ว ต้องลองทำดู จะได้สวยอย่าง แม่นาย แม่หญิงแห่งบุพเพสันนิวาส นะเจ้าคะ

Photo : pixabay.com

 

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

อยู่ในรถยนต์เสี่ยงตายกับมลพิษมากกว่าที่คุณคิด

ประเทศไทยได้รับเกียรติถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่รถติดที่สุดในโลก (ขอเสียงปรบมือหน่อยครับ) กรุงเทพมหานครของไทย ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่รถติดมากที่สุดอันดับที่ 12 ของโลกในช่วงที่มีการจราจรคับคั่ง คนมากมายหลายคน เชื่อว่าการอยู่ในห้องโดยสารของรถยนต์ปลอดภัยจากมลภาวะทางอากาศเป็นพิษที่อยู่บนท้องถนน แต่ศาสตราจารย์ Sir. David King จากมูลนิธิศึกษาปอด ของอังกฤษ กล่าวว่า จากงานวิจัยหลายชิ้นซึ่งเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2001 ชี้ว่า ผู้ที่อยู่ในรถยนต์บนท้องถนน ต้องสูดมลภาวะเป็นพิษมากกว่าผู้ที่เดินหรือขี่จักรยานอยู่บนท้องถนนเดียวกัน โดยเด็กเล็กเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพปอดของเด็กแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กอีกด้วย

Processed with MOLDIV

ข้อมูลที่น่าสนใจ

     92%  ของคนทั่วโลกใช้ชีวิตท่ามกลางสภาวะอากาศที่อันตรายเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยขององค์การอนามัยโลก

     6.5 ล้านคน หรือ  11.6%  ของผู้เสียชีวิตทั่วโลกเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศทั้งในพื้นที่เปิด และพื้นที่ปิด

Processed with MOLDIV

     ห้องโดยสารภายในรถยนต์ที่เหมือนจะปลอดภัยนั้น ก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะ มีมลพิษสูงกว่าภายนอกรถถึง 15 เท่า!!***

     ผู้คนมักจะคิดว่า ในขณะที่ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิทแล้วอยู่ภายในรถเราก็จะปลอดภัยจากมลภาวะ แต่ในความจริงก็ยังมีช่องว่างที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก และมลพิษต่างๆ เล็ดลอดเข้ามาได้ ช่องระบายอากาศที่ปล่อยให้อากาศจากด้านนอกเข้ามาก็เป็นอีกปัจจจัยสำคัญที่ก่อมลพิษให้เข้มข้นขึ้นจนเป็นอัตรายต่อสุขภาพได้

ไม่เพียงแต่มลพิษจากภายนอกรถเท่านั้น สิ่งที่อยู่ในห้องโดยสารก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน

Processed with MOLDIV

  • กรองแอร์รถยนต์ เป็นที่ชื้น มืด และไม่ปลอดโปร่ง ซึ่งเชื้อรา ไวรัส และแบคทีเรีย ชอบมาก เพราะสามารถแพร่พันธ์ุได้อย่างรวดเร็ว
  • การตกแต่งภายในรถยนต์ จำพวกวัสดุต่างๆ เช่น หนังและพลาสติก กาว สีรถ ซึ่งสามารถปล่อยแก๊สฟอร์มาลดีไฮด์ได้ ที่เป็นอันตรายต่อทุกคนภายในรถได้
  • พฤติกรรมคนใช้รถ คนขับรถและผู้ที่นั่งในรถคืออีกปัจจัยที่นำฝุ่นละอองเข้ามา เมื่อรวมกับกลิ่นสัตว์เลี้ยงและกลิ่นไม่พึงประสงค์อื่นๆ อย่าง อาหารที่นำมากิน น้ำหอมปรับอากาศ ตัวเคลือบหนังทำความสะอาด รวมไปกับฝุ่นละอองจากภายนอกรถ ก็ยิ่งเพิ่มระดับของมลพิษในห้องโดยสารขึ้นเป็น 2 หรือ 3 เท่า
ผลลัพธ์ ที่เกิดจากมลพิษทางอากาศภายในห้องโดยสารรถยนต์
มลพิษที่เข้าไปสะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกายผ่านการหายใจทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ อย่างเช่น โรคหอบหืด โรคปอด และหลอดลมอักเสบเรื้อรัง  จนอาจพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นโรคมะเร็งโพรงจมูกและมะเร็งปอด มลพิษบางชนิดยังค่อยๆ ลดออกซิเจนที่ส่งเข้าไปในอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ลดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำลายปอดและระบบประสาท ซึ่งมีผลต่อกระบวนการรับรู้และการพัฒนาสติปัญญาในเด็กเล็กๆ อีกด้วย
วิธีป้องกัน ไม่ให้เราต้องเผชิญมลพิษภายในรถยนต์จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
  1. ควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ ดักจัดการมลพิษทางอากาศมันตั้งแต่ต้นทางเลย โดยไอเสียจากรถยนต์เป็นแหล่งใหญ่สุดที่ทำให้เกิดมลพิษในเมือง ดังนั้น จึงควรจะควบคุมไอเสียให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคือหลีกเลี่ยงการขับรถโดยไม่จำเป็น  บำรุงรักษารถให้เหมาะสม  เพื่อจะได้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของรถไม่ให้ปล่อยมลพิษทางอากาศออกมามากเกินไป
  2. เพิ่มการถ่ายเทอากาศภายในรถ ด้วยการปล่อยให้อากาศข้างนอกเข้าในรถมากขึ้น โดยเปิดหน้าต่าง หรือเปิดเครื่องปรับอากาศ โดยเปิดช่องระบายลม หากจะใช้วิธีนี้ควรขับอยู่ นอกเมืองในวันที่อากาศเย็น ในที่ที่มีมลพิษในอากาศต่ำ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการเอามลพิษทางอากาศเข้ามาในรถมากขึ้นไปอีก
  3. ติดตั้งเครื่องกรองอากาศภายในรถยนต์ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศของห้องโดยสารในรถยนต์ได้ดี วิธีนี้อาจพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆว่า “เมื่อหนี ไม่ได้ก็ต้องสู้กับมันนั่นเอง”  สะดวก ง่าย ปลอดภัย

Photo : pixabay.com

เป็นเพื่อนกันนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคน พูดคุยกันได้

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161