3 เหตุผลหลักที่ “โปรตีน” เป็นจุดแข็งในการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก

โปรตีน คำนี้เราเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กเรียนชั้นประถมแล้ว ว่าเป็น 1 ในอาหารหลัก 5 หมู่ที่ต้องกินให้ครบ เพื่อสุขภาพ ตอนนั้นเราก็ได้แต่ท่อง ท่อง ท่อง แต่จะมีใครที่รู้จริงจังบ้างว่ามันสำคัญ ลึกซิ้งแค่ไหน หรือโปรตีนมีอะไรมากกว่าแค่ที่เราท่องจำ แล้วที่สำคัญ เมื่อเราโตขึ้นทุกส่วนสัด ทั้งรอบเอว ต้นแขน ต้นขา รวมถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนทนไม่ได้ก็ตัดสินใจเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก มันก็ถึงเวลาที่จะต้องรู้ว่าแล้ว โปรตีนจะช่วยในการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักได้อย่างไร

โปรตีน แปลว่า “ฉันมาก่อน” นั่นแสดงให้เห็นว่า โปรตีนสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งของร่างกายของคนเรา ในร่างกายของคนเรานั้น มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากเป็นอันดับสองรองจากน้ำ  ในกล้ามเนื้อมีโปรตีนมากถึง  1 ใน 3  ในกระดูกมีโปรตีนประมาณ  1 ใน 5  และผิวหนังมีโปรตีนประมาณ 1 ใน 10 จะเห็นว่า โปรตีน อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกายของเรา มิน่าถึงแปลว่า ฉันมาก่อน เป็นแขก วีไอพี เลยสำหรับร่างกายของเรา

โครงสร้างโปรตีน ประกอบด้วยกรดอะมิโน (Amino Acids) หลายชนิดเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์เป็นโพลิเมอร์สายยาว (อ่านผ่านไป ไม่ต้องจำก็ได้) เมื่อเรากินอาหารที่เป็นโปรตีนเข้าไป ภายในร่างกายมีเอ็นไซม์ช่วยย่อยอาหารโปรตีนเหล่านี้อยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เมื่อย่อยเสร็จก็ได้หน่วยที่เล็กลงเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ คือ กรดอะมิโนชนิดต่างๆ และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไปใช้งานในที่สุด

กรดอะมิโนแบ่งออกเป็น   2  ชนิด คือ
กรดอะมิโนจำเป็น (Essential Acid) คือ กรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้จำเป็นต้องได้จากอาหารที่กินเข้าไป โดยกรดอะมิโนจำเป็น มีทั้งหมด 9 ชนิด ได้แก่
1. ฮิสติดีน (Histidine)*
2. ไอโซลิวซีน (Isoleucine)
3. ลิวซีน (Leucine)
4. ไลซีน (Lysine)
5. เมไธโอนีน (Methionine)
6. เฟนิลอะลานีน (Phenylalanine)
7. ธรีโอนีน (Threonine)
8. วาลีน (Valine)
9. ทริพโตเฟน (Tryptophan)
*ฮิสติดีนเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายสำหรับเด็ก

กรดอะมิโนไม่จำเป็น( Non-Essential Amino Acid ) คือกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เอง กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นมีทั้งหมด 11 ชนิด ได้แก่
1. อะนาลีน (Alanine)
2. อาร์จีนิน (Argenine)
3. แอสพาราจีน (Asparagine)
4. กรดแอสพาร์ติก (Aspartic Acid)
5. ซิสตีน (Cystein)
6. กรดกลูตามิก (Glutamic Acid)
7. กลูตามีน (Glutamine)
8. ไกลซีน (Glycine)
9. โพรลีน (Proline)
10. ซีรีน (Serine)
11. ไทโรซีน (Thyrosine)

ร่างกายต้องการโปรตีนแค่ไหน
ร่างกายของเราในแต่ละช่วงอายุจะต้องการปริมาณโปรตีนต่างกันไปตามช่วงอายุ ซึ่งในช่วงทารกถึงเป็นเด็กจะต้องการปริมาณโปรตีนมากกว่า ช่วงที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามว่าร่างกายของเรานำโปรตีนไปทำอะไร โดยกรดอะมิโนในร่างกายจะนำไปสังเคราะห์เป็นโปรตีนเพื่อเป็นองค์ประกอบของอวัยวะต่างๆของร่างกาย หน้าที่ของโปรตีนที่อยู่ในอวัยวะต่างๆ เช่น ในตับ กล้ามเนื้อ และในกระแสเลือด คือ การรักษาสมดุลของไนโตรเจนในร่างกายเรา กรดอะมิโนจากอาหารที่กินเข้าไปจะถูกนำไปสร้างเป็นโปรตีนในรูปของผนังเซลล์ ฮอร์โมนบางชนิด ระบบภูมิคุ้มกันรวมถึงการเป็นตัวขนส่งสารอาหารที่สำคัญไปสู่อวัยวะส่วนต่างๆในร่างกาย

ที่มา : http://nutrition.anamai.go.th/Foodtable/Html/one_plt.html

คุณอาจคิดว่าในวันๆ หนึ่ง แค่กินอาหารตามปกติครบ 3 มื้อ ก็น่าจะได้รับโปรตีนเพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงปริมาณโปรตีนที่คุณได้รับต่อวันจากอาหารอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน ดูจากตารางด้านบนช่อง โปรตีน จะเห็นว่า กินยังไงโปรตีนก็ไม่พอเพียงอยู่ดี อย่างแกงมัสมั่นเนื้อ 100 กรัมก็ให้ปริมาณโปรตีนแค่ 10.2 กรัม ถ้าเราหนัก 50 กิโลกรัม ก็ต้องการโปรตีน 50 กรัม ก็กินมัสมั่นเนื้อประมาณ 500 กรัม เอียนกันเลยทีเดียวเชียวคะ แถมได้พลังงาน ไขมัน เพียบอ้วนแน่นอน

3 เหตุผล ที่โปรตีน ช่วยในการลดน้ำหนัก และรักษาน้ำหนักได้

1. ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ และ อัตราการเผาผลาญ เมื่อพูดถึงมวลกล้ามเนื้อ ก็อย่างที่เรารู้มาว่า ในกล้ามเนื้อมีโปรตีนมากถึง 1 ใน 3  เป็นองค์ประกอบ เมื่อพูดถึงกล้ามเนื้อก็ต้องนึกถึงอัตราการเผาผลาญ คนเราเมื่ออายุมากขึ้น กินเท่าเดิม แต่ทำไมน้ำหนักเพิ่มขึ้น ก็เพราะกล้ามเนื้อของเรามีการสลายลดลง เมื่อกล้ามเนื้อลดลง อัตราการเผาผลาญก็ลดลงตามไปด้วย ทำให้กินแคลอรี่เท่าเดิม น้ำหนักก็ยังเพิ่ม เพราะเหลือมากขึ้นนั่นเอง ปัจจัยที่ทำให้กล้ามเนื้อลดลง เช่น อายุที่มากขึ้น หรือไม่ได้มีการออกกำลังกาย สร้างเสริมเพิ่มเติม หรือได้รับโปรตีนไม่เพียงพอที่ร่างกายจะนำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือสร้างกล้ามเนื้อ หรือคนที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ทุก 4 กิโลกรัมของน้ำหนักที่ลดลง จะเป็นมวลกล้ามเนื้อซะ 1 กิโลกรัม หากเราได้รับโปรตีนไม่เพียงพอในระหว่างการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก

วิธีแก้ง่ายๆ ก็กินโปรตีนเสริมเข้าไปให้เพียงพอเท่านั้นเอง โดยเลือกโปรตีนคุณภาพที่สามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่าย จะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ และอัตราการเผาผลาญไว้ได้

2. ช่วยป้องกันการเกิดการโยโย่ การโยโย่ คือ การที่พอเราออกจากโปรแกรมลดน้ำหนักแล้ว น้ำหนักของเรากลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แถมมันจะเบิ้ลให้เป็นสองเท่าด้วย แบบว่า คืนต้น ทบดอกให้อีกเท่าตัว (หนูไม่อยากได้ เข้าใจมั๊ย) สาเหตุก็เกิดจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปมากระหว่างการลดน้ำหนักนั่นแหละ ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญลดเรี่ยต่ำติดดิน พอกลับมากินปกติ เรียบร้อย โยโย่ อ้วนหนักกว่าเดิม

วิธีแก้ไขก็เหมือนข้อแรก ย้อนขึ้นกลับไปอ่านได้เลย เพราะถ้าเรารักษามวลกล้ามเนื้อไว้ได้ ก็จะสามารถคงอัตราการเผาผลาญไว้ได้ ส่งผลให้ไม่โยโย่ตามมานั่นเองนะแจ๊ะ!!!

3. ช่วยให้ไม่โทรม เหี่ยวย่น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง หลายคนที่ลดน้ำหนักแล้ว ดูโทรม เหี่ยว ย่น เชียว จนเพื่อนถามว่า เป็นโรคอะไรหรือเปล่า (ช่างทำร้ายจิตใจแสนสาหัส ตรูลดน้ำหนักโว้ย!!) ถ้าไม่อยากให้เพื่อนถามแบบนั้น โปรตีนช่วยได้ ก็อย่างที่บอกโปรตีนอยู่ในผิวหนังถึง 1 ใน 10  แล้วผิวหนังทั่วตัวพื้นที่ตั้งเท่าไหร่ ปกปิดไม่มิด

วิธีแก้ก็กินโปรตีนให้พอเพียงระหว่างการเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก แค่นั้นเอง กินอาหารปกติไม่พอ ก็เสริมเข้าไป ลองดู แล้วผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ตึงเปรี๊ยะ (หูตึง ช่วยไม่ได้นะคะ)

แถมท้ายแล้ว โปรตีนคุณภาพต้องเลือกยังไง

1. ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด (ชนิดร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้)
2.เป็นโปรตีนที่ปราศจากไขมัน และโคเลสเตอรอล
3.สามารถควบคุมวัตถุดิบ กระบวนการผลิตได้

หวังว่าทุกคนจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์กับตัวเองนะคะ ฝากแชร์ด้วยละกัน ถ้าอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์กับเพื่อนๆ ของคุณ

ลิงค์แนะนำ :  ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 67 เหลือ 59 กรูทำได้!

Photo : pixabay.com

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

ลดน้ำหนักได้ดังใจ กับ 7 เคล็ดลับอย่างง่ายๆ

พอพูดถึงเรื่องการลดน้ำหนัก สาวๆ หนุ่มๆ ส่วนใหญ่ร้อง จ๊าก! กันเลยค่ะ ร้องทำไมคะ ก็มันรู้สึกสุญเสีย อดทำในสิ่งที่ชอบ มันต้องทรมานแน่ๆ ใจเย็นๆ วันนี้เอาเคล็ดลับการลดน้ำหนักมาฝากกัน ที่สำคัญมันง่ายมาก มาดูกันว่า 7 เคล็ดลับง่ายๆ มีอะไรบ้าง
 1. สม่ำเสมอ ในเรื่องของการลดน้ำหนักนั้น คุณจะต้องมีความสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญ  เป็นเคล็ดลับข้อหนึ่งที่สำคัญที่สุด ความสม่ำเสมอคือ การทำเป็นประจำปกติ ไม่มากไม่น้อย พอดี เช่น การกิน เมื่อเรามีเป้าหมายลดน้ำหนัก เราต้องกินให้แคลอรี่น้อยกว่าแคลอรี่ที่เราใช้ ในทุกๆ วัน  ย้ำทำทุกวันสม่ำเสมอ น้ำหนักของเราก็จะลดลงสม่ำเสมอเช่นกัน

 2. กินอาหารมื้อเช้า ควรเป็นอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย เพราะ อาหารที่มีปริมาณของน้ำตาลสูง จะทำให้ร่างกายต้องหลั่งอินซูลินออกมามากเช่นกัน เพื่อลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือด หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงน้ำตาลในกระแสเลือดจะลดต่ำลงเร็วมาก จะทำให้ร่างการเกิดอาการหิวโหยอย่างรุนแรง ร่างกายขาดพลังงาน ก็ทำให้เราหิวอีก กลายเป็นคนหิวบ่อย กินเยอะ สุดท้าย อ้วน นะแจ๊ะ! สังเกตุดูจะเห็นว่า คนอ้วนส่วนใหญ่ หิวบ่อย หิวเร็ว และชอบกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง

 3. มื้อเที่ยง ควรเป็นอาหารประเภทผัก เพิ่มเติมปริมาณของโปรตีน และน้ำมันที่มีประโยชน์อีกเล็กน้อย เพราะมันจะทำให้คุณอิ่มนานขึ้น กินน้อยลง

 4. ใช้ภาชนะใส่อาหารที่มีขนาดเล็กลง ภาชนะขนาดเล็กทำให้เราตักอาหารน้อย กินน้อย แคลอรี่ไม่มากเกินไป เมื่อเทียบกับภาชนะใส่อาหารขนาดใหญ่  ตอนเราตักอาหารใส่ เราจะรู้สึกว่ามันน้อย ทำให้เราตักเพิ่มตามขนาดของภาชนะที่ใหญ่ ทำให้เรากินเยอะตามไปด้วย

 5. กินก่อนมื้ออาหาร  ในแต่ละมื้อปกติให้เรากินก่อน เช่น แอปเปิล 1 ลูกก่อนมื้ออาหารประมาณ 15 นาที จะทำให้คุณกินอาหารน้อยลง  เพราะมีแอปเปิ้ลอยู่ในกระเพาะแล้ว แถมแอปเปิ้ลแคลอรี่ก็น้อยมากแค่ 70 แคลอรี่ เป็นการควบคุมแคลอรี่ได้ดีขึ้น

 6. นอนให้เร็วขึ้น เข้านอนก่อน  4 ทุ่ม ในแต่ละวันนอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง อย่านอนดึก เพราะพอเรานอนดึก อาจจะหิวและกินอาหารอีก แล้วนอนทันทีร่างกายจะเปลี่ยนพลังงานเป็นไขมันนำไปเก็บทันที ทำให้เราอ้วนได้ นอกจากลดน้ำหนักได้แล้วยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย

 7. พยายามใส่  SKINNY JEANS  อย่างน้อย  1 ครั้งใน  1 สัปดาห์ แนะนำให้ใส่ในวันศุกร์ เพราะวันศุกร์มักเป็นวันที่คนส่วนมากจะสังสรรค์กับเพื่อน ครอบครัว และกินอาหารเยอะมากการใส่ SKINNY JEANS มันรัด ฟิต ทำให้เรากินนิดเดียวก็แน่นแล้ว ทำให้เรากินได้น้อยลง แถมใส่แล้วดู เฟี้ยวอีกต่างหาก ดูดีด้วย

ดูเคล็ดลับทั้ง 7 แล้ว เป็นยังไงบ้างคะ ง่ายใช่มั๊ย ? ลองเอาไปทำกันดู แล้วรูปร่างที่ดีจะกลับมาเป็นของพวกเราทุกคนค่ะ

Photo : pixabay.com

 

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

ลดด้วยตัวเองกับบอดี้คีย์ (BodyKey) หรือลดกับสถาบัน ค่าใช้จ่ายต่างกันอย่างไร

เคยสังเกตกันรึป่าว? ตอนเราไปเดินตามห้างสรรพสินค้าเคยเดินหลงเข้าไปในโซน โซนหนึ่งคือ โซนสถาบันลดน้ำหนัก สารพัดสถาบันหน้าร้านสวยงาม ดูเลิศหรูอลังการ มีสาวสวย ๆ มายืนแจกยิ้ม เชื้อเชิญ ซึ่งมันมีเยอะพอ ๆ กะร้านขายเครื่องสำอางค์ ร้านขายเสื้อผ้า นั่นแสดงว่าประชาชนคนไทยน่าจะมีปัญหาเรื่องความอ้วนหรือน้ำหนักตัวกันมาก ไม่งั้น! สถาบันลดน้ำหนักคงไม่มากมายขนาดนี้ และจากข้อมูลที่เคยอ่านมาไม่แปลกใจค่ะ เพราะไทยเรามีคนอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ติดเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เป็นรองแค่มาเลเซียประเทศเดียวเท่านั้นเอง อนาคตคาดว่าเราจะแซงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนในด้านน้ำหนักตัว น่าภูมิใจมั๊ยคะ ?

เดินดูมาเรื่อย ๆ จะเห็นสารพัดสถาบันไม่ว่าจะเป็น Slim Up center, SparCha slimming center, Body Shape, Marie France Bodyline, Kristie France นี่แค้่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งสถาบันเหล่านี้ก็จะมีดารามาเป็นพรีเซนเตอร์ ลดได้ 10 โลบ้าง 15 โลบ้าง แล้วแต่จะโปรโมท กันนะคะ

มันมีอยู่คำถามหนึ่งที่เรามักจะตั้งคำถามกันเกือบทุกคนที่ต้องการลดน้ำหนัก คือ “มันต้องใช้เงินเท่าไหร่คะ” เรามาดูที่โปรตอนที่เชื้อเชิญ ราคาเริ่มต้นที่ 30,000บาท ส่วนใหญ่นะคะ อาจจะแตกต่างกันตามแต่ละสถาบัน นี่แค่ราคาเริ่มต้นนะ! ถ้าเข้าไปใช้บริการจริง ๆ มักจะไม่หยุดที่ 30,000 บาทนะ โดยรวมแล้วบางสถาบันอาจถึงหลักเป็นแสนบาทได้เลยทีเดียวค่ะ ลองคิดกันง่าย ๆ ดูดีกว่า ว่าราคาที่ลดน้ำหนักต่อ 1 กิโล คิดเป็นเงินเท่าไหร่ ? เวลาเขาจัดให้เป็นคอร์ส ดูแต่ละสถาบันกันดีกว่าว่าเราต้องใช้เงินโดยประมาณเท่าไหร่ ?

โดยข้อมูลต่อไปนี้ที่จะยกตัวอย่างให้ดูนี้ ก็เป็นข้อมูลมาจากในอินเตอร์เน็ต จากประสบการณ์ผู้ไปใช้บริการ เปรียบเทียบกับการลดด้วยตัวเองกับบอดี้คีย์ ว่าต่อกิโลที่ลดได้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ โดยเอาที่ 7 กิโลที่ลดได้เป็นเกณฑ์

เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  • BodyKey ราคาต่อคอร์ส 19,800 บาท เฉลี่ยต่อกิโลก็ 2,828 บาท
  • SparSha Slimming center ราคาต่อคอร์สโดยประมาณ 30,000 บาท เฉลี่ยต่อกิโลก็ 4,285บาท
  • Kristie France ราคาต่อคอร์สโดยประมาณ 50,000 บาท เฉลี่ยต่อกิโลก็ 7,142 บาท
  • Body Shape ราคาต่อคอร์สโดยประมาณ 60,000 บาท เฉลี่ยต่อกิโลก็ 8,571 บาท
  • Slim up center ราคาต่อคอร์สโดยประมาณ 60,000 บาท เฉลี่ยต่อกิโลก็ 8,571 บาท
  • Marie France Bodyline ราคาต่อคอร์สโดยประมาณ 65,000 บาท เฉลี่ยต่อกิโลก็ 9,285 บาท

สถาบันลดน้ำหนักก็จะมีเครื่องมือต่าง ๆ สารพัดที่จะช่วยให้เราผอม
– เริ่มจากเขาก็จะวิเคราะห์รูปร่างก่อน น้ำหนัก ส่วนสูงเท่าไหร่ มวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน มวลกระดูก
– เครื่องปล่อยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ ลักษณะจะเป็นแผ่นสื่อนำคลื่นมาแปะตามตัว หรือจุดที่ต้องการ พอเปิดเครื่องแผ่นพวกนี้ก็จะปล่อยคลื่นออกมากระทำชำเรากับพุงของเรา
– เครื่อง Ultra Sound เครื่องนี้มีแทบทุกสถาบัน พนักงานก็เอาเจลเย็น ๆ มาทาเป็นตัวสื่อคลื่น แล้วก็เอาสายมาแปะให้เรา พนักงานบอกว่าเครื่องนี้สบาย ๆ นอนหลับได้เลย พอปล่อยคลื่นมา เจ็บจี้ด ๆ
– เครื่อง Stream เครื่องนี้ก็เหมือนเครื่องอบไอน้ำ แต่ทรมานมาก ร้อนเหมือนโดนต้ม
– เครื่องกระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลือง มันคล้าย ๆ เก้าอี้นวด เขาบอกว่ามันจะนวดไปตามต่อมน้ำเหลือง ให้ช่วยขับของเสีย
– เครื่องปล่อยคลื่นวิทยุ วิธีทำก็จะทาครีมหรือเซรั่ม แล้วเอาหัวปล่อยคลื่น RF มาวน ๆ ตามจุดที่มีไขมัน
– เครื่องดูดสูญญากาศ เครื่องนี้บางที่ก็บอกว่ากระชับสัดส่วน บางที่ก็บอกว่าตีให้ไขมันแตกตัว สรุปว่าเจ็บมากกกกก
– ปากกานำส่งเซรั่ม ลักษณะคือทาเซรั่มกระชับสัดส่วน แล้วใช้ปากกาลาก ๆ นัยว่าทำงานเป็นเข็มฉีดยา แต่ไม่ต้องฉีด คือปากกาจะนำส่งตัวยาผ่านผิวเข้าไปเคลมว่าดีกว่าการดูดซึมโดยการนวดถึง 9 เท่า
– นวดกระชับสัดส่วน อันนี้ถือเป็นไม้ตายคลาสสิกทุกสถาบันต้องมี เบสิคมาก ๆ คือการทาครีมแล้วนวด สบายดี เคลิ้ม
– พันร้อน
– พันเย็น

ดูราคาที่ยกตัวอย่างมาให้ดูแล้วเป็นไงกันมั่ง เห็นแล้วจะเป็นลม โอ้วววว มันต้องใช้เงินมากขนาดนี้เลยหรอ โดยหลัก ๆ แล้วการลดกับสถาบันลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือสารพัด อย่าง ดีอย่างไร แต่ก็ต้องควบคุมแคลอรี่ และออกกำลังไม่เช่นนั้นก็ไร้ผล และต้องใช้เวลาเดินทางไปที่สถาบันเพื่อลดน้ำหนัก มีเพื่อนสาวที่ตัดสินใจเข้าสถาบันลดน้ำหนัก เล่าให้ฟังว่า “ฉันจ่ายเงินตั้งเยอะแล้ว ยังบังคับ ห้ามกินนั่น ห้ามกินนี่อีก รู้งี้! …………..”

ส่วนการลดน้ำหนักด้วยตัวเองกับบอดี้คีย์ ไม่มีเครื่องมือกระตุ้นอะไร ต้องกระตุ้นตัวเองเท่านั้นให้มีวินัย ในการทำตามโปรแกรมการลดน้ำหนัก ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปไหน ส่วนค่าใช้จ่ายก็เป็นค่าตัวบอดี้คีย์ล้วน ๆ ก็ดูที่ภาพเปรียบเทียบดูค่ะว่า แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน

ลองคิดดูนะคะว่า เราจะเลือกวิธีไหน เข้าสถาบันลดน้ำหนัก หรือลดน้ำหนักด้วยตัวเองดี เราเป็นเจ้าของเงิน เรามีสิทธิ์เลือก แล้วคุณล่ะ! เลือกอย่างไรคะ ?

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

 

ลดน้ำหนักแบบไม่ โยโย่ ทำได้อย่างไร

หลังจากทีได้น้ำหนักเป็นที่พอใจแล้ว ก็มีปัญหาที่กลัวเข้ามาอีกอย่างคือ กลัวว่าจะกลับมาอ้วนอีก หรือที่หลายคนรู้หรือเคยได้ยินบ่อย คือ “โยโย่” ถ้ากลับไปอ้วนใหม่มากกว่าเดิม นั่นก็แสดงว่า ที่อดทน มุ่งมั่น รวมทั้งเงินที่ลงทุนไปกับการลดน้ำหนักมาก็สูญเปล่า แถมน้ำหนักมากกว่าเดิมอีก ตายแหล่ว!  อกอีแป้นจะแตก (อีแป้นคือใคร ?) อย่าไปสนใจเลยค่ะ มาว่ากันเรื่อง “โยโย่” ของเราต่อดีกว่า

“โยโย่” เกิดจากอะไร ใครรู้บ้าง ? โยโย่เกิดจากการที่เราลดน้ำหนัก แต่เราดันลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่ผิดๆ เช่น การอดอาหาร กินยาลดความอ้วน เป็นต้น หรือวิธีการอื่น ๆ ที่ทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายของเราลดน้อยลง ตัวอย่างเช่น จากเดิมอัตราการเผาผลาญอยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน หลังจากลดน้ำหนักด้วยวิธีการผิด ๆ ไปซักพักหนึ่งแล้ว น้ำหนักก็ลดลงนะคะ แต่เป็นการลดลงของน้ำหนักที่มวลกล้ามเนื้อ ไม่ใช่มวลไขมัน ส่งผลให้ระดับการเผาผลาญของร่างกายลดลงเหลือแค่ 1,500 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน

และแล้วเมื่อเรากลับมาทานอาหารปกติ ซึ่งเราจะได้พลังงานประมาณ2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน  แต่ตอนนี้ร่างกายเราเผาผลาญเพียง 1,500 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน เท่ากับเราเหลือแคลอรี่สะสม 2,000-1,500 = 500 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน เป็นแบบนี้ไปหนึ่งสัปดาห์น้ำหนักของเราจะเพิ่มขึ้น 500 x 7 = 3,500 กิโลแคลอรี่ ซึ่งเท่ากับ 0.5 กิโลกรัม ครบเดือนนึงน้ำหนักของเราจะเพิ่มขึ่น 0.5 x 4 = 2 กิโลกรัม  อุ๊ย! ต๊ายตาย อกอีแป้นจะระเบิด (อีแป้นมาอีกล่ะ)

ที่โหดร้ายขึ้นไปอีกครือว่า การเกิด “โยโย่” ของน้ำหนักที่เราลดได้ มันมักจะเปิ้ล 2 เท่าจากที่ลดได้ แบบว่า อยากลดน้ำหนักแบบผิด ๆ ดีนัก หมั่นไส้ แถมให้อีกเท่าตัว หุย! คิดง่าย ๆ ถ้าลดน้ำหนักจาก 70 เหลือ 60 ลดได้ 10 กิโล แต่ถ้าโยโย่ มันจะเปิ้ลกลับให้เพิ่มกลับ 20 กิโล กลายเป็นน้ำหนักกระโดดไปอยู่ที่ 60+20 = 80 กิโลกรัม อีแป้นเป็นลมแพร่บ!!! แล้วเราก็พยายามลดน้ำหนักอีก แต่ด้วยวิธีผิด ๆ อีก ทีนี้ล่ะ! น้ำหนักของเราจะกระโดดไกลไปเป็น 90 ถ้าทำผิดอีกเราก็จะกลายเป็น “สาวน้อย 100 โล กลิ้งกันไปเลยค่ะ” กลายเป็นยิ่งลด ยิ่งเพิ่มมากกว่าเดิม เอ้า! ตั้งสติมาอ่านต่อว่าทำไมการเผาผลาญของเราถึงลดลง

สาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเรามีอัตราการเผาผลาญลดลง ในระหว่างที่ลดน้ำหนักแบบผิด ๆ มีสาเหตุมาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือทั้งสองสาเหตุนี้รวมกัน คือ

  1. กินโปรตีนไม่เพียงพอ เพราะยิ่งเรามีมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งก็คือโปรตีน ในปริมาณมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างกายของเราก็จะยิ่งเผาผลาญพลังงานมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน การที่เรากินโปรตีนไม่เพียงพอระหว่างลดน้ำหนัก จะทำให้ร่างกายสูญเสียโปรตีนหรือมวลกล้ามเนื้อไประหว่างลดน้ำหนักด้วย เมื่อโปรตีนในร่างกายได้รับน้อย มวลกล้ามเนื้อก็ลดลงร่างกายก็จะเผาผลาญลดลงตามไปด้วย โดยปกติเมื่อเราลดน้ำหนักแบบผิด ๆ เมื่อน้ำหนักลดลงทุก ๆ 4 กิโลกรัม มวลกล้ามเนื้อของเราจะหายไปถึง 1 กิโลกรัม
  2. ได้รับพลังงานจากอาหารน้อยเกินไปที่ร่างกายจะทำงานได้ตามปกติ  ร่างกายของเรามีอวัยวะต่างๆ มากมายที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา ร่างกายของเราจึงต้องการพลังงาน อย่างน้อย 800 กิโลแคลอรี่ เพื่อให้อวัยวะต่างๆ สามารถทำงานได้ตามปกตินะคะ สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรากินอาหารได้พลังงานน้อยกว่า 800 กิโลแคลอรี่ก็คือ ร่างกายเราจะคิดว่าอยู่ในสภาวะอดอยากใกล้ตาย จึงเปลี่ยนระบบการทำงานให้ประหยัดพลังงานที่สุด เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่ต่อไปได้นานที่สุด ทำให้ร่างกายอยู่ในโหมด จำศีล  อวัยวะแต่ละส่วนจะพยายามทำงานให้น้อยที่สุด ส่งผลให้ร่างกายเราเผาผลาญพลังงานน้อยลง ยิ่งอยู่ในสภาวะที่ได้พลังงานน้อยเกินไปนานแค่ไหน ร่างกายก็จะยิ่งเผาผลาญพลังงานน้อยลงเท่านั้น

เมื่ออวัยวะเราทำงานน้อยลงหรือทำงานบกพร่อง ทำให้เรามีโอกาสที่จะเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น หรือเป็นแล้วหายยากขึ้น คนที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีการผิด ๆ ที่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยเกินไป จึงมักสุขภาพไม่แข็งแรง น้ำหนักลดลงยาก น้ำหนักเพิ่มขึ้นง่าย คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หากทานอาหารที่ให้พลังงานน้อยเกินไป อาจจะทำให้อาการทรุดลงจนเสียชีวิตได้จึงควรระวังเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ร่างกายจะพยายามเก็บไขมันไว้ใช้ในยามจำเป็นให้มากที่สุด ผลก็คือเราจะมีไขมันสะสมเพื่อขึ้น มีปัญหาเรื่องสัดส่วน ส่วนเกินที่ไม่อยากมีมากขึ้น คนที่ลดน้ำหนักแบบผิดๆ จึงมักจะมีปัญหาเรื่องสัดส่วน ส่วนเกินมากกว่าคนที่มีน้ำหนักพอๆ กันที่ลดแบบถูกวิธี และปลอดภัย สุขภาพดีกว่า

แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะไม่ โยโย่ หลังออกจากโปรแกรมลดน้ำหนัก ง่าย ๆ ไม่ยากค่ะ แค่…..ก็ทำตรงข้ามกับสาเหตุที่ทำให้การเผาผลาญของเราลดลง โดยทำตามนี้ เด้อหล่า!

  1. กินโปรตีนให้เพียงพอในระหว่างลดน้ำหนัก เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อไว้
  2. กินให้ได้พลังงานไม่ต่ำกว่า 800 กิโลแคลอรี่ต่อวัน เพื่อไม่ให้ร่างกายของเราเข้าโหมด จำศีล

แม้ว่าเราจะลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่ถูกต้องไม่ทำให้เกิดโยโย่ แต่เราจำเป็นต้องให้เวลากับร่างกายของเราปรับตัว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาหลังจากออกจากโปรแกรมลดน้ำหนัก เพราะร่างกายของเราจะมีการเก็บจดจำข้อมูลเรื่องการลดน้ำหนักของร่างกายเอาไว้ เพื่อให้ร่างกายเราทำงานได้อย่างเหมาะสม

ดังนั้นเมื่อเราลดน้ำหนักได้ตามที่ต้องการแล้ว เรายังต้องคงสภาพกาารกิน การออกกำลังกายเหมือนตอนที่เราเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักต่อไปอีกสักระยะ แล้วค่อยๆ ปรับการกินและการออกกำลังกายให้กลับมาเป็นปกติ โดยใช้เวลาในการปรับตัวประมาณ 3-6 เดือน เพื่อให้ร่างกายสามารถจดจำน้ำหนักใหม่ของเราได้ แล้วหลังจากนั้นเราก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบมีความสุขตามปกติ โดยที่ไม่ทำให้เกิด “โยโย่” เย้! จบแบบ Happy Ending ค่ะ

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161

ลดน้ำหนักจนได้น้ำหนักที่ต้องการ กรูทำได้ยังไง! บอดี้คีย์ (Body Key)

เมื่ออดีตกาลฉันก็เคยเป็นผู้หญิงที่มีน้ำหนักถึง 67 กก. โอ้แม่เจ้า! ฉันเป็นผู้หญิงเหรอเนี่ย! เอวหนา หน้าด้าน เฮ้ย! ม่ายช่าย! หน้าบานเท่ากระด้ง (อันนี้พี่ๆ เพื่อนๆ ว่ามา) แต่ก็เฉยๆ นะ I don’t care แบบว่ามั่นใจกับหุ่นของตัวเองมากกกกก!!!!! เสื้อผ้าใส่ไม่ได้ก็ซื้อใหม่ ไม่เดือดร้อน 55555678 ขยับไซส์ไปเรื่อยๆ  ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ (มันเป็นวิธีปลอบใจตัวเอง)

แต่แล้ววันนึงก็เริ่มทนไม่ไหว เมื่อเดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนน เริ่มเหนื่อย หายใจแรงขึ้น ถี่ขึ้น ไม่อยากขยับร่างกาย เลยก้มตัวลงนั่งบนสะพานลอย หายใจไม่ทั่วท้อง เริ่มคิดว่าทำไมร่างกายของเราถึงหนักจังเล้ย! เป็นอย่างนี้ต่อไปอายุคงไม่ยืนยาวแน่ๆ ไม่ได้ ไม่ได้ ม๊ายด้าย! สามีก็ยังไม่มีเป็นของตัวเองเลย สมองเริ่มคิดมองหาวิธีที่จะลดนำ้หนักเพื่อสุขภาพที่ดี หาวิธีเองเลยไม่ต้องปรึกษาใคร อ่านเจอสูตรไหนดีก็ทำตาม เอาล่ะเริ่มเลยวิธีแรก กินพริกไทยป่นมื้อละ 2 ช้อน เช้า กลางวัน เย็น คิดดูล่ะกันว่ารสชาดจะขนาดไหน ลองอยู่  7 วันก็เฉยๆ เลยหยุดกิน ปากเปิกร้อนแสบไปหมด วิธีนี้ไม่ได้ก็เริ่มมองหาวิธีการใหม่ล่ะ เอาล่ะอ่านเจอมาอีก ออกกำลังกายได้ผลชัวร์ เริ่มปฎิบัติการอีกรอบ ตื่นตี 4 ครึ่งวิ่งรอบสวนลุมเลย เช้าหนึ่งรอบ ต่อด้วยเต้นแอร์โรบิค 555 ผลคือเหนื่อยมากกกกก!! แต่น้ำหนักก็ไม่ลงอีก ไม่รู้ทำไม ? แต่ตัวเรารู้สึกร่างกายเราสดชื่นขึ้น เหมือนหมูอ้วนที่แข็งแรง เพื่อนบอกให้กินยาลดน้ำหนัก เราก็ไม่กล้า กลัวตาย กลัวเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เสียชื่อเสียงวงษ์ตระกูลหมด เริ่มท้อแระ! จนปลงกะตัวเองว่า เอาวะมันคงไม่ลงแล้วล่ะ ทำใจ

จนมาเจอกะรุ่นพี่ที่รู้จักกัน เห็นเขาผอมลง หุ่นรูปร่างดีขึ้น ก็เลยถามว่า “พี่เป็นโรคอะไรหรือเปล่า หรือว่าลดน้ำหนัก ทำไมผอมลง” แปลกใจ เพราะเมื่อก่อนก็อวบอ้วนมาด้วยกัน กินมาด้วยกัน เลยได้คำตอบว่า พี่เขาลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ เลยขอให้พี่เขาเล่าให้ฟังว่า อยากลดน้ำหนักบ้าง ทำยังไง ทำยังไง พี่เขาก็ถามกลับว่าทำไมอยากลดน้ำหนักล่ะ บอกมาสัก 3 ข้อ ทำไมการลดน้ำหนักต้องตอบคำถามด้วย ความที่เราอยากรู้ ก็เลยต้องตอบคำถามพี่เขาไป เอาล่ะขอตอบเป็นข้อๆเลยล่ะกัน

1. อยากหุ่นสวย ดูดี อันนี้มาอันดับแรกเลย เพราะถ้าเราสวยความมั่นใจมาเต็ม
2. อยากสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องเป็นหวัดปีละ 4-5 ครั้ง มันน่ารำคาญ
3. ข้อนี้น่ะสำคัญ อยากให้หนุ่มๆ มองแบบไม่หมางเมิน

พอเราตอบคำถามเสร็จพี่เขาถามกลับว่ารู้จัก บอดี้คีย์มั๊ย ? ไม่เคยได้ยิน มันคือไร ? และวันนั้นก็เป็นวันแรกที่ได้รู้จักบอดี้คีย์ พอรู้ข้อมูลและวิธีการ และเห็นตัวอย่างตัวเป็นๆ ว่ากินแล้วผอม ลดน้ำหนักได้จริงๆ เลยตัดสินใจ เอาวะ ลองอีกสักครั้งเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ เริ่มด้วยการคำนวณค่า BMI ได้เกิน 25 เป็นโปรแกรมลดน้ำหนักที่ใช้เวลา 2 เดือนในการปฏิวัติตัวเอง อย่างมีวินัย โดยพี่เขาได้เซ็ตผลิตภัณฑ์ตัวช่วยเท่าที่จำเป็นต้องใช้ในโปรแกรม

1. ตัวทดแทนมื้ออาหาร สารอาหารครบถ้วน แต่พลังงานแค่ 130 แคลอรี่

2.โปรตีน เสริมป้องกันการหายไปของกล้ามเนื้อระหว่างการลดน้ำหนัก

3. ตัวบล็อกแป้งและน้ำตาล  ลดอาการเสพติดคาร์โบไฮเดรต และลดแคลอรี่สู่ร่างกาย

4. ตัวรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญ 

5. ตัวซ่อมแซม ระบบการเผาผลาญ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญ

พอได้ของครบก็เริ่มเข้าสู่โปรแกรมปฎิวัติตัวเองสู่การมีรูปร่างที่สมส่วน มีทำแบบสอบถามในแอพ BodyKey ผลออกมา อิอิ!!! แย่ในทุกด้าน อาทิ การนอน ความเครียด พฤกติกรรมการกิน การออกกำลัง ออกมาตรงข้ามกับที่คนหุ่นดีเขาปฏิบัติกันทุกด้าน เช่น เขาให้นอน 7-9 ชม.ต่อวัน แต่นี่นอนแค่ 5-6 ชม. แถมนอนดึก เที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง ไม่มีไร เล่นเกมส์บนมือถือ ดูซีรี่ย์ อย่างความเครียด ก็คิดเอาเองนะว่าเป็นคนไม่เครียดนะ แต่ผลออกมา เครียดสูง นี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย

2 สัปดาห์แรก บอกเลยว่ามีความอยากอาหารมากกว่าปกติ แต่เราก็ต้องทำตามโปรแกรมอย่างมีวินัย เพราะวินัย คือหัวใจสำคัญในการลดน้ำหนัก แค่ 3 วันแรก น้ำหนักก็หายไป 1 กก. กำลังใจเริ่มมา แรงฮึดมาเต็ม บอกตัวเองเอาอีก ทำต่อไป

พอเข้าสัปดาห์ที่ 3-4 ผลลัพธ์น้ำหนักก็ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เร็วเท่า 2 สัปดาห์แรก กางเกงที่ใส่แล้วฟิตตัวแทบแตก จะสอดนิ้วเข้าไปเกาตูดก็ไม่ได้เลย แต่นี่กางเกงเอวหลวมเลย แบบว่าสอดมือเข้าไปได้สบายๆ เกาตูดได้สบายๆ ขึ้น 55555 ลองค้นตู้เสื้อผ้าที่เราเคยหมกไว้ เพราะใส่ไม่ได้ มันแน่นอก ไม่ใช่ อิอิ มันแน่นทั้งตัวมากกว่า ลองเอามาลองใส่อีกที โอ้วววววไม่น่าเชื่อ ใส่ได้ทุกตัว เพื่อนคนรู้จักเริ่มมีมาทักว่า ช่วงนี้ดูผอมลงนะ ก็แน่ละ น้ำหนักลดลงไปถึงตอนนี้ก็ 5 กก. ไปแล้ว

มาถึงช่วงสัปดาห์ที่ 5-8 รู้สึกว่ารอบเอว ต้นขา ต้นแขน ลดลง ฟิตและเฟิร์มมากขึ้น จากที่เคยเป็นคากิ ดูรูปร่างสมส่วนขึ้น แบบว่ามีทรวดทรงสมกับเป็นผู้หญิงมากขึ้น สรุปสุดท้ายครบ 8 สัปดาห์ 2 เดือน ลดน้ำหนักไปได้ 8 กก. โดยไม่โทรมเหมือนเมื่อตอนใช้สารพัดวิธีก่อนหน้านี้ สุดแสนประทับใจจริง ๆ

สัดส่วนที่ลดไปในระยะเวลา  2  เดือน

น้ำหนักลงไปได้ถึง        8      กก.

รอบเอวลดลงไปได้       7      ซม.

ต้นแขนลดไป                 3       ซม.

ต้นขาอวบลดไปได้       3       ซม.

รอบคอลดไป                1.5      ซม.

จากที่ได้ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ปลอดภัยไม่โทรม สุขภาพดีขึ้นด้วย ตอบสนองทั้ง 3 ข้อที่พี่เขาถามตอนแรกเลย โดยเฉพาะข้อ 3 ไม่อยากจะบอก เดี๋ยวนี้มีหนุ่มเมียงมอง ไม่หมางเมินแล้วนะ สิบอกให่!  ตอนนี้ขอบอกว่ามีความสุขมาก ที่ได้อีกอย่างคือ มันทำให้เรากลายเป็นคนที่มีวินัยในการใช้ชีวิตมากขึ้น มั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น เลยได้ข้อสรุปอยู่ 2 ข้อนะว่า การที่เราจะลดน้ำหนักให้ได้ผลดี สิ่งที่เราต้องมี คือ

1. วินัย ในการปฏิบัติตามโปรแกรมลดน้ำหนัก

2. โค้ช หรือคนที่คอยช่วยเหลือให้ข้อมูล แนะนำ ปรึกษา และให้กำลังใจกับเรา

มาถึงตรงนี้ได้ก็ขอบคุณพี่เขาที่คอยเป็นโค้ชให้ ถ่ายทอดวิธีการ ความรู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก จนสามารถลดน้ำหนักได้ และทำให้เรานำความรู้คอยช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักได้

ชอบช่วยแชร์ต่อให้ด้วยนะคะ เป็นกำลังใจ ขอบคุณค่ะ

Link  :  https://goo.gl/k4VZyu

เป็นเพื่อนกันได้ อ่านแล้วดีฝากแชร์ด้วยนะคะ

Line id : manussanank
Mobile : 089 447 2161